วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 24, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight“เงินบาทอ่อน” จับตายอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานสหรัฐฯ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“เงินบาทอ่อน” จับตายอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานสหรัฐฯ

ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 34.98 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” หลังดอลลาร์แข็งค่า รับผลบวกจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย จับตายอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานสหรัฐฯ

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.98 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.90 บาทต่อดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง (แกว่งตัวในช่วง 34.87-35.01 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากทั้งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ขณะเดียวกัน การทยอยย่อตัวลงสู่โซนแนวรับของราคาทองคำก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าเช่นกัน

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯพลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ชัดเจน หลังผู้เล่นในตลาดต่างเทขายทำกำไรหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นได้ดี ตั้งแต่หลังรับรู้ผลการประชุมเฟดล่าสุด โดยเฉพาะหุ้นเทคฯใหญ่ Nvidia -3.0%, Apple -1.1% นอกจากนี้การปรับสถานะถือครอง Options ในช่วงใกล้เทศกาลหยุดยาวของผู้เล่นในตลาดก็อาจมีส่วนสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.47%

ส่วนตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.19% หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษล่าสุด ที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ได้เพิ่มความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีหน้า นอกจากนี้ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นบ้างของหุ้นกลุ่ม Healthcare อาทิ Novo Nordisk +1.9% หลังหุ้นกลุ่มดังกล่าวเผชิญแรงขายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคม

ด้านตลาดบอนด์ แม้ว่ารายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board ของสหรัฐฯ จะปรับตัวดีขึ้นกว่าคาด และช่วยหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 3.90% ได้ แต่ก็เป็นเพียงการปรับตัวขึ้นชั่วคราว หลังภาวะปิดรับความเสี่ยงในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดยังคงต้องการถือบอนด์ระยะยาว กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ทยอยย่อตัวลงใกล้ระดับ 3.86%

ทั้งนี้แนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip และไม่ไล่ราคา หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาพอสมควร ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเฟด ที่เร็วและลึก พอสมควรและอาจยังไม่สอดคล้องกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดนัก

ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยเงินดอลลาร์ได้แรงหนุนตั้งแต่ช่วงบ่ายหลังเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ทยอยอ่อนค่าลงตามความหวังการลดดอกเบี้ยของ BOE จากรายงานอัตราเงินเฟ้อล่าสุดที่ชะลอตัวลงชัดเจน นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีกว่าคาดและความต้องการถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดการเงินสหรัฐฯ ผันผวน ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 102.4 จุด (กรอบ 102.2-102.6 จุด)

ส่วนราคาทองคำ การทยอยปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงแรงขายทำกำไรทองคำ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ย่อตัวลงใกล้ระดับ 2,044 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งใกล้โซนแนวรับระยะสั้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเข้าซื้อทองคำบ้าง เพื่อลุ้นการรีบาวด์ในกรอบ sideway โดยโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) โดยหากยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานนั้น ยังคงอยู่ในระดับต่ำและออกมาดีกว่าคาด ก็จะยิ่งหนุนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมที่ยังคงแข็งแกร่ง ทำให้มีโอกาสที่ผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้บ้าง ซึ่งอาจหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัวใกล้ระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซนแนวต้านสำคัญ แต่ก็มีโอกาสที่เงินบาทอาจอ่อนค่าเหนือระดับดังกล่าวไปได้บ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ซึ่งนอกจากจะหนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ยังอาจกดดันให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายหุ้นไทยได้เช่นกัน เนื่องจากหุ้นไทยได้ทยอยรีบาวด์ขึ้นมาพอสมควรจากการปรับฐานล่าสุด

อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจยังไม่ได้อ่อนค่าไปไกลมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอคอยรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นในช่วงนี้ คือรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ในคืนนี้ และอัตราเงินเฟ้อ PCE ในคืนพรุ่งนี้ นอกจากนี้การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจเผชิญโฟลว์ธุรกรรมขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออกบางส่วน ซึ่งจะช่วยชะลอไม่ให้เงินบาทอ่อนค่าเหนือระดับ 35.00 บาทไปได้ไกล

ขณะเดียวกัน เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าได้ชัดเจน จนกว่าจะเห็นการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาแย่กว่าคาดพอสมควร หรือนักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทย ทำให้เราประเมินว่าเงินบาทก็อาจติดโซนแนวรับแถว 34.70-34.80 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระทบตลาด

ในช่วงนี้ ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.85-35.10 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img