“พาณิชย์” เปิดตัวเลขการเลิกประกอบธุรกิจ 11 เดือนมีจำนวน 17,858 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 10.7 แสนล้านบาท ก่อสร้างแชมป์ ขณะที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติลงทุน 98,288 ล้านบาท สิงคโปร์นำโด่ง
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศเดือน 11 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ย.) มี 2566 มีจำนวน 17,858 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 107,728.90 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด คือธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 1,680 ราย คิดเป็น 9.41% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 915 ราย คิดเป็น 5.12% และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร จำนวน 511 ราย คิดเป็น 2.86%
ทั้งนี้หากแบ่งตามช่วงทุนพบว่า วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาทมากสุด จำนวน 12,516 ราย คิดเป็น 70.09% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 4,530 ราย คิดเป็น 25.37% ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 731 ราย คิดเป็น 4.09% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 81 ราย คิดเป็น 0.45%
ธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนพ.ย. มีจำนวน 2,608 ราย โดยมีมูลค่า ทุนจดทะเบียนจำนวน 17,374.03 ล้านบาท โดยธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไปเลิกกิจการมากสุด 194 ราย คิดเป็น 7.44% รองลงมาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 131 ราย คิดเป็น 5.02% และธุรกิจภัตตาคารร้านอาหาร จำนวน 80 ราย คิดเป็น 3.34%
อย่างไรก็ตาม หากแบ่งตามช่วงทุนพบว่า ไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 1,841 ราย คิดเป็น 70.59% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 635 ราย คิดเป็น 24.35% ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 124 ราย คิดเป็น 4.75% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 8 ราย คิดเป็น 0.31%
ตัวเลขธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศ 11 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ย.) มีจำนวน 81,291 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 546,855.90 ล้านบาท โดยธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก คือ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 6,226 ราย คิดเป็น 7.66% รองลงมาคือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 6,047 ราย คิดเป็น 7.44% และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร จำนวน 3,841 ราย คิดเป็น 4.73%
นอกจากนี้แบ่งตามช่วงทุนพบว่า ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 52,934 ราย คิดเป็น 65.12% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 27,079 ราย คิดเป็น 33.31% ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 1,072 ราย คิดเป็น 1.32% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 206 ราย คิดเป็น 0.25%
ธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศ เดือนพ.ย.66 จำนวน 5,979 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 25,272.84 ล้านบาท โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 490 ราย คิดเป็น 8.20% ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 436 ราย คิดเป็น 7.29% รองลงมา และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคารร้านอาหาร จำนวน 267 ราย คิดเป็น 4.46%
ทั้งนี้หากแบ่งตามช่วงทุนพบว่า ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาทมากสุด มีจำนวน 3,600 ราย คิดเป็น 60.21% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 2,244 ราย คิดเป็น 37.53% ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 114 ราย คิดเป็น 1.91% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 21 ราย คิดเป็น 0.35%
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ 30 พ.ย. 66 มีจำนวน 892,001 ราย มูลค่าทุน 21.74 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 199,973 ราย คิดเป็น 22.42% บริษัทจำกัด จำนวน 690,585 ราย คิดเป็น 77.42% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,443 ราย คิดเป็น 0.16%
โดยธุรกิจส่วนใหญ่มีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 517,496 ราย คิดเป็น 58.02% รวมมูลค่าทุน 0.45 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.09% รองลงมา คือ ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 277,309 ราย คิดเป็น 31.09% รวมมูลค่าทุน 0.95 ล้านล้านบาท คิดเป็น 4.38% ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 79,222 ราย คิดเป็น 8.88% รวมมูลค่าทุน 2.17 ล้านล้านบาท คิดเป็น 9.99% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 17,974 ราย คิดเป็น 2.01% รวมมูลค่าทุน 18.16 ล้านล้านบาท คิดเป็น 83.54%
ส่วนการลงทุนต่างชาติเดือนพ.ย. มีจำนวน 56 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 20 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 36 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 3,322 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนต.ค.มีจำนวนธุรกิจที่คนต่างชาติเข้ามาลงทุนลดลง 11% (ลดลง 7 ราย) ขณะที่เงินลงทุนลดลง 70% หรือลดลง 7,631 ล้านบาท
สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ สิงคโปร์ จำนวน 9 ราย เงินลงทุน 909 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ จีน จำนวน 9 ราย เงินลงทุน 282 ล้านบาท และ สหรัฐอเมริกา จำนวน 7 ราย เงินลงทุน 224 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาต่างชาติได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ จำนวน 612 ราย มีเงินลงทุนทั้งสิ้น 98,288 ล้านบาท