ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 35.94 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” หลังรายงานข้อมูลยอดผู้ขอรับสวัสดิการ ของสหรัฐฯ ยังคงออกมาดีกว่าคาด ลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยูโรโซนในวันนี้
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.94 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.85 บาทต่อดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 35.80-35.98 บาทต่อดอลลาร์) กดดันโดยจังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลยอดผู้ขอรับสวัสดิการ (Jobless Claims) ของสหรัฐฯ ยังคงออกมาดีกว่าคาด สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง
นอกจากนี้การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงสู่โซนแนวรับระยะสั้น กดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำ อย่างไรก็ดี รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาผสมผสาน กอปรกับภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ และทำให้เงินบาทยังคงไม่ได้อ่อนค่าทะลุแนวต้าน 36.00 บาทต่อดอลลาร์
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นร้อนแรง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ นำโดย Nvidia +16.4%, Amazon +3.6% หลัง Nvidia รายงานผลกำไรและคาดการณ์ผลกำไรที่ดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีความหวังต่อแนวโน้มการเติบโตของหุ้นในธีม AI โดยการปรับตัวขึ้นแรงของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ดังกล่าว ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้นแรง +2.96% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +2.11%
ทางตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.82% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นแรงของบรรดาหุ้นเทคฯ โดยเฉพาะหุ้นในธีม AI อาทิ ASML +5.1% หลัง Nvidia รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากรายงานดัชนี PMI ภาคการบริการที่ออกมาดีกว่าคาดและพลิกกลับมาอยู่ในระดับ 50 จุด
ด้านตลาดบอนด์ แม้ว่า บรรยากาศในตลาดการเงินจะกลับมาเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ตามการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นในธีม AI ทว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ก็ทำให้ ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง (ลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายน กันยายน และธันวาคม) ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของเฟดใน Dot Plot ล่าสุด ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่ได้มีปัจจัยหนุนให้ปรับตัวขึ้นต่อมากนัก และยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 4.30%
ทั้งนี้ประเมินว่า การปรับตัวขึ้นต่อของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นั้น อาจเป็นไปอย่างจำกัด หลังมุมมองของผู้เล่นในตลาดนั้นเหมือนกับสิ่งที่เฟดประเมินไว้ใน Dot Plot ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 4.50% ได้นั้น อาจต้องอาศัยมุมมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่า 3 ครั้ง หรือ ไม่ลดดอกเบี้ยลงเลย ซึ่งเราประเมินว่า โอกาสเกิดภาพดังกล่าวมีน้อยมากในปัจจุบัน ดังนั้น Risk-Reward ของการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวก็ยังคุ้มค่าอยู่ ทำให้เราคงมองว่า นักลงทุนสามารถทยอยเพิ่มสถานะการลงทุนได้ หรือนักลงทุนอาจรอจังหวะ Buy on Dip ก็ได้เช่นกัน
ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์มีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามรายงานข้อมูลยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่าภาวะเปิดรับความเสี่ยงในตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงรายงานดัชนี PMI ล่าสุดที่ออกมาผสมผสาน ก็ทำให้ เงินดอลลาร์ก็ยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้และเผชิญการลดสถานะ Long USD ของผู้เล่นในตลาดเพิ่มเติม ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 103.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.6-104.1 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี รวมถึงภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ย่อตัวลงสู่โซน 2,030 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง ซึ่งในช่วงโซนราคาดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ยังคงทยอยเข้าซื้อทองคำอยู่บ้างและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยูโรโซน อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีและยูโรโซน โดย IFO (Business Climate Survey) ในเดือนกุมภาพันธ์ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดก็จะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ ECB ว่าจะเกิดขึ้นได้เร็วกว่าเฟด (เดือนมิถุนายน) ได้หรือไม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินยูโร (EUR) ได้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท ไม่เปลี่ยนมุมมองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่านั้นแผ่วลง โดยเฉพาะหลังมุมมองการลดดอกเบี้ยของผู้เล่นในตลาดนั้น ได้สอดคล้องกับ Dot Plot ของเฟดล่าสุด ทำให้ การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ก็อาจจำกัดลง (Limited Upsides for USD) ทว่าด้วยปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยที่ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ขณะเดียวกัน ทิศทางของราคาทองคำ รวมถึงสกุลเงินเอเชียสำคัญ อย่าง เงินหยวนจีน (CNY) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็อาจส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้พอสมควร หากทั้งราคาทองคำ เงินหยวนจีน และเงินเยน ย่อตัวลงบ้าง
อย่างไรก็ดี ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินในช่วงนี้ อาจช่วยหนุนให้นักลงทุนต่างชาติทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์ในฝั่งเอเชียเพิ่มเติม ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็อาจได้รับอานิสงส์จากภาพดังกล่าวด้วยเช่นกัน ทำให้ การอ่อนค่าของเงินบาทนั้นจะเป็นไปอย่างจำกัด และเรายังคงประเมินว่า การเคลื่อนไหวของเงินบาทในช่วงนี้ อาจมีลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ แต่ก็มีโอกาสแข็งค่าขึ้นบ้าง)
ในเชิงเทคนิคัล เงินบาทได้ส่งสัญญาณทยอยแข็งค่าขึ้นได้ โดยเฉพาะหากเงินบาทสามารถแข็งค่าหลุดโซนแนวรับ 35.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซน 35.50-35.60 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก ขณะที่โซนแนวต้านยังคงเป็นช่วง 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ที่เป็นแนวต้านเชิงจิตวิทยาในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของเงินบาทนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้งมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.75-36.05 บาทต่อดอลลาร์