วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWS“เศรษฐา”สั่งเกาะติดสถานการณ์ในตะวันออกกลาง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“เศรษฐา”สั่งเกาะติดสถานการณ์ในตะวันออกกลาง

“เศรษฐา” สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งด้านต่างประเทศ ความมั่นคง และเศรษฐกิจรายเกาะติดสถานการณ์ในตะวันออกกลางหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงรุนแรง-มีแนวโน้มกระทบไทย เตรียมมาตรการรับมือทันเหตุการณ์

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามสถานการณ์ในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด ภายหลังสถานการณ์ระหว่างอิหร่านและอิสราเอลตรึงเครียดขึ้น รวมทั้งสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งด้านต่างประเทศ ความมั่นคง และเศรษฐกิจรายงานตรงทันทีหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้น และมีแนวโน้มจะกระทบไทย ซึ่งจะได้มีมาตรการรับมือและช่วยเหลือทันทีหากจำเป็น

นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สั่งการกระทรวงพลังงานให้ติดตามสถานการณ์สงครามอิหร่าน-อิสราเอลอย่างใกล้ชิด และสั่งการให้นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน และทุกหน่วยของกระทรวงพลังงานติดตามรายงานสถานการณ์ คาดการณ์ผลกระทบและแนวทางในการรับมือด้านพลังงาน

รายงานข่าวจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แจ้งว่า สถานการณ์ระหว่างอิหร่านและอิสราเอลที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าจะบานปลายเป็นความรุนแรง เพราะการทำสงครามระหว่างประเทศมีการประเมินล่วงหน้าถึงผลกระทบรอบด้านโอกาสที่สงครามจะขยายวงไปเป็นสงครามระดับภูมิภาคมีโอกาสเกิดขึ้นน้อย

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้สะท้อนความไม่แน่นอนของปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นได้ตลอดโดยปัจจัยความขัดแย้งเรื่องภูมิรัฐศาสตร์เป็นหนึ่งในประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2567 ที่ สศช.รายงานให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) และรัฐบาลรับทราบว่าต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด

นอกจากนี้ ที่ผ่านมา สศช.ได้มีการจัดทำผลการประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจากกรณีความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮามาสเมื่อปลายปี 2566 ในประเด็นผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน ซึ่งจะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทยผ่านราคาน้ำมันและ LPG

สำหรับประเด็นราคาน้ำมันในกรณีความขัดแย้งลุกลามหรือยืดเยื้อ อาจจะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันในไทยโดยเฉพาะราคาดีเซลยังคงถูกตรึงราคาไว้จากการสนับสนุนของกองทุนน้ำมันบางส่วน แต่ต้องดูว่าจะตรึงราคาต่อไปได้หรือไม่หากราคาปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ความสามารถในการพยุงราคาน้ำมันในประเทศก็มีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะกระทบการขนส่งและภาคการผลิต

ขณะที่ราคา LPG หากสถานการณ์ขยายขอบเขตออกไป ราคา LPG อาจจะมีแนวโน้มกลับมาสูงขึ้นในระยะถัดไป ซึ่งฐานะของกองทุนน้ำมันที่นำมาอุดหนุนราคา LPG ยังคงขาดทุนอยู่อย่างต่อเนื่อง อาจจะส่งผลให้การผยุงราคา LPG มีข้อจ่ากัดในการดำเนินการมากขึ้น ซึ่งการเพิ่มขึ้นของราคา LPG จะส่งผลต่อภาคการขนส่งและภาคครัวเรือนเป็นสำคัญ

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img