ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 36.62 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่า” หลังดอลลาร์อ่อนค่า-ทองคำรีบาวด์ ขณะที่บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.62 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.63 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแกว่งตัวในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 36.54-36.64 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง ตามการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ หลังรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ที่สำรวจโดย Conference Board ออกมาสูงกว่าคาด
ขณะเดียวกัน บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างก็ย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี เงินบาทยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากการปรับตัวขึ้นราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ของราคาทองคำ ที่สวนทางกับการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมยังคงถูกกดดันจากความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงนี้ทยอยออกมาดีกว่าคาด อีกทั้งบรรดาเจ้าหน้าที้ฟดต่างก็ย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้น Nvidia +7% (รวมถึงหุ้นธีม Semiconductor/AI อื่นๆ) ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.59% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.02%
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลงราว -0.60% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่กดดันให้ ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยขายทำกำไรหุ้นยุโรปซึ่งปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้างตามความหวังการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ขณะเดียวกัน บรรดาหุ้นธีม Semiconductor/AI ต่างก็ปรับตัวขึ้น นำโดย ASML +1.5% ตามอานิสงส์ของรายงานผลประกอบการของ Nvidia ที่เติบโตได้ดีกว่าคาด
ส่วนตลาดบอนด์นั้น ความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทยอยออกมาดีกว่าคาดในช่วงนี้ ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาด ปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดให้โอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง เพียง 23% ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทะลุระดับ 4.50% สู่ระดับ 4.54% ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯมีโอกาสผันผวนสูงขึ้นได้ไม่ยาก หากผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ทุกจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯจะเป็นโอกาสในการทยอยเข้าซื้อ เนื่องจากระดับบอนด์ยีลด์ที่สูงกว่า 4.50% จะทำให้การถือครองบอนด์ 10 ปีสหรัฐฯมี Risk/Reward ที่น่าสนใจ
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯก็ยิ่งกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ผันผวนอ่อนค่าลงสู่ระดับ 157.3 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 104.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.3-104.7 จุด)
ส่วนราคาทองคำ สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. มีจังหวะรีบาวด์ขึ้น ราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ก่อนที่ตลาดจะรับรู้รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ซึ่งหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯปรับตัวขึ้น กดดันให้ราคาทองคำไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซน 2,385 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปได้ อย่างไรก็ดี การรีบาวด์ขึ้นบ้างของราคาทองคำ มีส่วนช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทผ่านโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซน ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนี ที่จะรายงานในช่วงราว 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของทาง ECB ซึ่งล่าสุดผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า ECB จะเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนมิถุนายน
ส่วนสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ หรือ Fed Beige Book รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด (ทยอยรับรู้ในช่วง 01.00 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ ตามเวลาประเทศไทย) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยในปีนี้ได้ไม่ถึง 2 ครั้ง
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ค่าเงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยไม่ถึง 2 ครั้งในปีนี้ จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ทยอยออกมาดีกว่าคาดในช่วงนี้ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี เรามองว่าเงินบาทก็อาจยังแกว่งตัว sideways ในกรอบ 36.55-36.75 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะมีการรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ในช่วงคืนวันศุกร์นี้
ทั้งนี้ในช่วงระหว่างวัน มองว่าการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่นอาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยกลับเข้าซื้อเงินเยนได้บ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็อาจเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่า เช่นเดียวกับแรงขายสินทรัพย์ไทยโดยนักลงทุนต่างชาติ โดยในสัปดาห์นี้ นักลงทุนต่างชาติได้ทยอยขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยซึ่งอาจจะพอช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้นั้น ต้องรอลุ้นทิศทางราคาทองคำ โดยหากราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านได้อีกครั้ง เราเชื่อว่าผู้เล่นในตลาดก็อยากทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง ก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE และโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำดังกล่าวก็จะสามารถช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้
อนึ่ง ควรระวังความผันผวนของเงินบาทในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) เพราะหากภาพเศรษฐกิจและกิจกรรมของภาคธุรกิจดูมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้บ้าง ทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสย่อตัวลงได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนสูง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.55-36.75 บาทต่อดอลลาร์