วันพุธ, มิถุนายน 26, 2024
หน้าแรกHighlightครม.เศรษฐกิจเคาะมาตรการระยะสั้น-ยาว กระตุ้นเศรษฐกิจดัน“จีดีพี”ปี67 โต 2.4%
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ครม.เศรษฐกิจเคาะมาตรการระยะสั้น-ยาว กระตุ้นเศรษฐกิจดัน“จีดีพี”ปี67 โต 2.4%

ครม.เคาะมาตรการมาตรการระยะสั้น-ยาว กระตุ้นเศรษฐกิจทั้งด้านการท่องเที่ยว-เบิกจ่ายงบประมาณ-เร่งรัดการลงทุนดันจีดีพีปีนี้โต 2.4%

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมครม.เศรษฐกิจที่ว่า ที่ประชุมได้มีการหารือและติดตามตัวเลขเศรษฐกิจ ซึ่งในไตรมาสที่ 1/2567 ที่ผ่านมาเห็นได้ว่าเศรษฐกิจโตต่ำกว่าศักยภาพและเติบโตต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ดังนั้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องมีทั้งมาตรการระยะสั้นและมาตรการระยะยาว โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ก็ต้องมีการใช้มาตรการระยะสั้นเพื่อที่จะให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวได้ประมาณ 3% จากเดิมที่ตัวเลขของสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปี 2567 จะขยายตัวได้ประมาณ 2.4% ขณะที่ระยะยาว อีก 3 ปีข้างหน้าก็มีการหารือว่าเศรษฐกิจของไทยต้องขยายตัวประมาณ 5% ต่อปีถึงจะสามารถไปรอดได้

สำหรับมาตรการที่ออกมาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะสั้นจะมี 3 มาตรการดังนี้

1.มาตรการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวโดยดึงเอานักท่องเที่ยวเข้ามาสู่ประเทศไทยเพิ่มเติมอีก 1 ล้านคน จากเดิมที่ได้มีการตั้งเป้าว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้าสู่ประเทศไทยในปีนี้อยู่ที่ 35.7 ล้านคน ตั้งเป้าเป็น 36.7 ล้านคน ซึ่งเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มในจำนวนนี้จะช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ได้อีกประมาณ 0.12%

2.การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐบาลที่มีอยู่ประมาณ 8.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณในการลงทุนในปี 2567 และคิดเป็นสัดส่วน 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งปัจจุบันงบประมาณในส่วนนี้เบิกจ่ายไปได้แล้วประมาณ 41% และปกติจะเบิกจ่ายได้ประมาณ 60% ของเป้าหมาย แต่ในปีงบประมาณนี้รัฐบาลตั้งเป้าหมายว่าให้มีการเบิกจ่ายงบลงทุนได้ไม่ต่ำกว่า 70% ซึ่งจะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นได้อีก 0.24%

3.การเร่งรัดการลงทุนของภาคเอกชนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งมีการขอบีโอไอไปแล้วกว่า 8 แสนล้านบาท หากสามารถจะขยายให้มีการลงทุนจริงในปีนี้ ประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท ก็จะช่วยให้จีดีพีขยายตัวได้อีกประมาณ 0.14-0.15%

นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจยังเห็นชอบให้มีการตั้งคณะกรรมการเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ (เซมิคอนดักเตอร์บอร์ด) เพื่อพัฒนาแรงงานฝีมือของเราให้มีความสามารถและทักษะแรงงานในเรื่องนี้ให้มากขึ้น ซึ่งแม้ว่าเราจะเริ่มเรื่องนี้ช้ากว่าหลายประเทศ แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นที่เราจะร่วมกับเอกชนในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในเรื่องนี้เพราะว่ากำลังมีการขยายการลงทุนและแรงงานกลุ่มนี้เป็นที่ต้องการมาก ซึ่งแนวทางจะมีการส่งแรงงานของไทยไปฝึกแรงงานเรื่องนี้ในไต้หวันซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ด้วย

สำหรับเรื่องของการแก้ปัญหาของหนี้เสียและเอ็นพีแอล มีแนวคิดที่จะปรับให้ลูกหนี้ที่เป็นเอ็นพีแอล เนื่องจากผลกระทบจากโควิด ซึ่งเป็นลูกหนี้ รหัส 21 ใช้เกณฑ์ติดเครดิตบูโรใหม่ จาก 5+3 เป็น 3+3 ซึ่งจะทำให้ลูกหนี้กลุ่มนี้หลุดจากบัญชีเครดิตบูโรได้ภายใน 1-2 ปีนี้

ส่วนเรื่องสภาพคล่องของผู้ประกอบการได้เตรียมจะเสนอมาตรการค้ำประกันสินเชื่อ (PGS) 11 วงเงิน 5 หมื่นล้านบาทจะเสนอ ครม.พรุ่งนี้ เพื่อค้ำประกันให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ขณะเดียวกันภาครัฐเตรียมจะออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษ (ซอฟต์โลน) โดยให้ธนาคารออมสินร่วมกับสถาบันการเงินพาณิชย์ปล่อยซอฟต์โลนวงเงิน 1 แสนล้านบาท เพื่อปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็ก โดยมีเงื่อนไขให้เป็นรายใหม่ที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อก่อนหน้านี้ โดยธนาคารออมสินพร้อมที่จะรับไปดำเนินการแม้จะกระทบผลกำไรเฉลี่ยปีละ 1 พันล้านบาท คาดว่าสามารถช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img