วันอาทิตย์, กันยายน 29, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight“เงินบาทแข็ง” ตัวเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ขยายตัวเพียง 0.1% น้อยกว่าตลาดคาด
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“เงินบาทแข็ง” ตัวเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ขยายตัวเพียง 0.1% น้อยกว่าตลาดคาด

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.67 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” หลังตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมที่ขยายตัวเพียง 0.1% น้อยกว่าที่ตลาดคาด ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.67 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.83 บาทต่อดอลลาร์โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 36.65-36.85 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจมากขึ้นว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ จากรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมที่ขยายตัวเพียง +0.1%m/m น้อยกว่าที่ตลาดประเมินไว้

นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯยังได้หนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมาเช่นกัน

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดยังมีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ขณะเดียวกัน การปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่ม Semiconductor อาทิ Nvidia +3.5% ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทว่าผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เริ่มทยอยขายทำกำไรหุ้นเทคฯใหญ่ออกมาบ้าง เช่น Meta -1.4% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดเพียง +0.25%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นราว +0.69% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ อย่างกลุ่ม Semiconductor ตามหุ้นธีม AI ในฝั่งสหรัฐฯ อาทิ ASML +1.5% ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังเชื่อว่า แนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลักจะเข้าสู่ช่วงการทยอยลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้ ทั้งนี้ความกังวลสถานการณ์การเมืองในฝรั่งเศสก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก

ในส่วนตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯพลิกกลับมาปรับตัวลงสู่ระดับ 4.22% หลังรายงานยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาน้อยกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความหวังว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้

ทั้งนี้คงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯอาจผันผวนในกรอบ sideways และสามารถที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งของเฟดในปีนี้ ทว่าเราคงคำแนะนำเดิมว่า ในทุกๆ จังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯจะเป็นโอกาสในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวที่น่าสนใจ เนื่องจากแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดในระยะข้างหน้ามีเพียงแค่ “คง” หรือ “ลง” มากกว่าที่เฟดจะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง

ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลัก หลังรายงานยอดค้าปลีกที่ออกมาแย่กว่าคาด ยังคงทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่าเฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ทว่า เงินดอลลาร์ก็ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์การเมืองในฝรั่งเศสที่กดดันไม่ให้เงินยูโร (EUR) สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องไปได้มากนัก ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่ระดับ 105.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105.1-105.6 จุด)

ส่วนของราคาทองคำการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) สามารถรีบาวด์ขึ้นเหนือโซน 2,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินบาท

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของอังกฤษ ในเดือนพฤษภาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยหากทั้งอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนี PPI ชะลอตัวลงต่อเนื่อง มากกว่าคาด ก็อาจเปิดโอกาสให้ BOE สามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนสิงหาคม ซึ่งอาจเร็วขึ้นกว่าที่ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า BOE จะเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้ชะลอลง หลังความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทยได้คลี่คลายลงบ้างในระยะสั้น ซึ่งอาจช่วยลดแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท หากบรรดานักลงทุนต่างชาติไม่ได้เดินหน้าขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะหลังที่ทยอยออกมาแย่กว่าคาด ก็มีส่วนช่วยลดทอนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ได้ในช่วงนี้

สำหรับเงินดอลลาร์ก็อาจยังไม่สามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ชัดเจน เนื่องจากฝั่งยุโรปก็ยังมีความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสอยู่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันไม่ให้เงินยูโร (EUR) สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ในช่วงนี้ และแม้ว่าเงินบาทอาจพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่เราก็มองว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ทำให้เงินบาทก็อาจยังติดในโซนแนวรับแถว 36.50-36.60 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้านก็ยังคงเป็นช่วง 36.80-36.90 บาทต่อดอลลาร์

ทั้งนี้ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนี PPI ของอังกฤษ (ช่วง 13.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) เพราะหากอัตราเงินเฟ้อชะลอลงมากกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับมุมมองต่อแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของ BOE ให้เร็วขึ้นจากช่วงปลายไตรมาส 3 ซึ่งอาจกดดันให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) มีโอกาสอ่อนค่าลงได้บ้าง และเป็นปัจจัยที่หนุนเงินดอลลาร์ในช่วงนี้

อย่างไรก็ตามเงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่างมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือสกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.55-36.80 บาท/ดอลลาร์

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img