ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย.67 อยู่ที่ 58.9 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ต่ำสุดในรอบ 9 เดือน หวังเบิกจ่ายงบประมาณ-แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตหนุนจีดีพีไทยโต 2.8-3%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยผลการสำรวจประชาชนจำนวน 2,243 คนพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือนมิ.ย.67 อยู่ที่ 58.9 ลดลงจากเดือน พ.ค.67 อยู่ที่ 60.5 โดยปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือนนับตั้งแต่เดือน ต.ค.66 เป็นต้นมา
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 52.6 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 56.1 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 67.9 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ในรอบ 10 เดือนทุกรายการ
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลง มาจาก 1. ค่าครองชีพที่สูงขึ้น จากสถานการณ์ราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ประปา ในขณะที่รายได้เพิ่มขึ้นไม่ทันกับรายจ่าย
2.กำลังซื้อหดตัว จากผลของรายจ่ายในชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้น รายได้ไม่พอ และภาวะหนี้ครัวเรือนในระดับสูง
3.การเมืองไม่นิ่ง โดยมีความกังวลกับการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีสถานภาพของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แม้ว่ายังไม่มีคำวินิจฉัย เพราะจะมีผลต่อการดำเนินโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล หากมีการปรับเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต หรือนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความไม่มั่นใจ และระมัดระวังการใช้จ่าย
นอกจากนี้การนำกัญชากลับเข้ามาในบัญชียาเสพติด ซึ่งพรรคภูมิใจไทยแสดงจุดยืนจะโหวตโน ถือเป็นจุดเปราะบางของรัฐบาล ที่อาจส่งผลให้เกิดยุบสภาขึ้นได้ โดยผลสำรวจความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในเดือนมิ.ย.ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และต่ำสุดในรอบ 10 เดือน นับตั้งแต่เดือนก.ย. 66 โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่เห็นว่าสถานการณ์การเมืองอยู่ในระดับที่แย่ สูงกว่า 50 % เป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน
อย่างไรก็ตาม ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน สถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามในตะวันออกกลางที่ยังคงยืดเยื้อบานปลาย อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวล่าช้าของเศรษฐกิจไทย ขณะที่สัญญาณการซื้อสินค้าคงทน เช่น บ้าน รถยนต์ การท่องเที่ยว ซึมตัวต่อเนื่องตลอดไตรมาส 2
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ในเดือนมิ.ย. 67 ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจ และหอการค้าทั่วประเทศ จำนวน 369 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 24-28 มิ.ย..67 พบว่า ดัชนีฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 อยู่ที่ระดับ 54.2 โดยเป็นการปรับตัวลดลงในทุกภูมิภาค แม้ในภาพรวมยังเกินกว่าค่ากลางระดับ 50 แต่ตัวชี้วัด ทั้งเศรษฐกิจโดยรวม การบริโภค การลงทุน ภาคท่องเที่ยว ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า การค้าชายแดน และภาคบริการ รวมถึงการจ้างงาน เริ่มปรับตัวลดลงทุกด้าน สะท้อนถึงสัญญาณเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ทั้งนี้ภาคธุรกิจมีความห่วงใยเพิ่มขึ้นต่อทิศทางการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน ซึ่งแม้คณะกรรมการไตรภาคีจะยังไม่สรุปชัดเจนว่าจะให้ปรับขึ้นได้ 400 บาทต่อวันทั่วประเทศหรือไม่ก็ตาม ซึ่งต้องติดตามว่าหากมีการปรับขึ้นจริง รัฐบาลจะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบนี้ให้กับภาคธุรกิจอย่างไร เช่น การเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น หรือการช่วยให้ SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขไขหนี้ครัวเรือน การเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจโดยรวม ซึ่งโดยรวมหลายภาคมองว่าต้องการให้รับบาลเร่งหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทุกด้านด่วน หากไม่มีมาตรการที่ชัดเจนก็เชื่อว่าโอกาสความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในเดือน ก.ค.นี้จะปรับลดลงได้อีก
สำหรับเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 2 น่าจะโตใกล้เฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 %และไตรมาสที่ 3 ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวโดดเด่น ซึ่งต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนจากมาตรการของรัฐทั้งการท่องเที่ยว การเบิกจ่ายงบลงทุน ที่จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวแบบอ่อนๆ โดยจีดีพีในไตรมาส 3 น่าจะขยายตัวได้ 2-2.5 % และจะฟื้นตัวเข้มแข็งขึ้นตั้งแต่เดือนก.ย.ถ้าสถานการณ์การเมืองไม่พลิกผัน
ส่วนเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 มีโอกาสขยายตัวได้ 3-4% ส่งผลให้ช่วงครึ่งหลังปีนี้ เศรษฐกิจขยายตัวได้ 3% ซึ่งเมื่อรวมทั้งปีแล้วจะขยายตัวได้ 2.5% แต่หากรวมเม็ดเงินจากดิจิทัลวอลเล็ตมีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยปีนี้ จะขยายตัวได้ 2.8-3%