วันจันทร์, พฤศจิกายน 25, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWS“กลุ่มทิสโก้”โชว์งบครึ่งปีแรก กำไรสุทธิ 3,482 ล้านบาท ลดลง 4.5%
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“กลุ่มทิสโก้”โชว์งบครึ่งปีแรก กำไรสุทธิ 3,482 ล้านบาท ลดลง 4.5%

“กลุ่มทิสโก้” แจ้งงบครึ่งปีแรกของปี 67 มีกำไรสุทธิ 3,482 ล้านบาท ลดลง 4.5% จากการตั้งค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบางปรับโครงสร้างหนี้

นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 67 (ม.ค.-มิ.ย.) แม้จะมีแรงหนุนในภาคบริการจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง ภาคการส่งออกที่เห็นสัญญาณฟื้นตัว และแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐที่เริ่มกลับมาเร่งตัวขึ้นหลังพ.ร.บ.งบประมาณปี 67 มีผลบังคับใช้ แต่ภาพโดยรวมยังคงเปราะบางและมีปัจจัยกดดันในหลายด้าน โดยเฉพาะภาคการผลิตและการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวในระดับต่ำ จากปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ปรับลดลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชะลอตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและค่าครองชีพที่ทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง ยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศหดตัวลงอย่างรุนแรงจากกำลังซื้อที่ถดถอยรวมถึงคุณภาพหนี้สินที่มีแนวโน้มด้อยลง

ท่ามกลางความท้าทาย ในช่วงครึ่งแรกของปี 67 กลุ่มทิสโก้มีกำไรสุทธิ 3,482 ล้านบาท ลดลง 4.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่งวดไตรมาส 2/ 67 มีกำไรสุทธิ 1,749 ล้านบาท ลดลง 5.7% จากไตรมาส 2 ของปีก่อนหน้า สาเหตุหลักจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและแรงกดดันด้านคุณภาพสินทรัพย์ ขณะที่ต้นทุนทางการเงินปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ยังได้แรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อจำนำทะเบียนผ่านการขยายสาขาสมหวัง เงินสั่งได้ ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากกำไรจากเงินลงทุน ขณะที่ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลักชะลอตัวลงตามภาวะตลาดทุนที่ผันผวน และธุรกิจนายหน้าประกันภัยที่ซบเซา

ในระยะข้างหน้า กลุ่มทิสโก้ ยังคงมุ่งดำเนินธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ “Sustainable Focus” การขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมีคุณภาพบนพื้นฐานการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม พร้อมเพิ่มความระมัดระวังรอบคอบในการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกันจะเดินหน้าเติมเต็มโอกาสทางการเงินเพื่อสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงให้แก่ลูกค้า ควบคู่กับการติดตามดูแลลูกค้าในกลุ่มเปราะบางอย่างใกล้ชิด

โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ กลุ่มทิสโก้ จะเน้นดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบและเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยวางกลยุทธ์ ESG in Action ให้สอดรับกับกระบวนการทำงานและการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในมุมการยกระดับความเป็นอยู่และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่สังคม ซึ่งที่ผ่านมาเราดำเนินการอย่างเข้มข้นเพื่อให้คนไทย “ปลดหนี้และมีเงินออม” อาทิ การจัดกิจกรรม Smart HR Fin Coach ติวเข้มความรู้การเงินให้หน่วยงานทรัพยากรบุคคล (HR) ของบริษัทนายจ้าง ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพทิสโก้ เพื่อการส่งต่อแนวทางการวางแผนทางการเงินสู่วงกว้าง

นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาเครื่องมือเสริมทักษะทางการเงินในหลายรูปแบบ โดยเน้นให้เข้าใจง่าย สนุก และใช้งานได้จริง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการเงินทองได้อย่างเหมาะสม ทั้งด้านการลงทุน การออม และหนี้สิน เพิ่มเติมจากกิจกรรมที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมฉลาดเก็บ ฉลาดใช้ กิจกรรมรู้ไว้เข้าใจหนี้ ค่ายสมหวัง สร้างโอกาส รวมถึงการให้คำปรึกษาเรื่องการรวมหนี้เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีภาระดอกเบี้ยที่ลดลง พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบางในเชิงรุกผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นต้น

สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 มีจำนวน 233,448 ล้านบาท ลดลง 0.6% จากสิ้นปี 2566 สาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของสินเชื่อเช่าซื้อ สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศที่หดตัวลง ในขณะที่สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อ SME และสินเชื่อจำนำทะเบียนยังคงขยายตัว แต่เติบโตในอัตราที่ช้าลง โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทเพิ่มความระมัดระวังและรอบคอบในการปล่อยสินเชื่อใหม่ท่ามกลางสภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ณ สิ้นไตรมาสนี้ อยู่ที่ 2.4% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากการขยายสินเชื่อไปในกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนสูง และผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า โดยบริษัทมุ่งเน้นการติดตามทวงถามหนี้อย่างใกล้ชิด รวมถึงดำเนินนโยบายการบริหารความเสี่ยงและตั้งสำรองอย่างรัดกุม และมีระดับค่าเผื่อสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Coverage Ratio) อยู่ที่ 162.7%

ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 20.6% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 18.6% และ 2.0% ตามลำดับ

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img