เงินเฟ้อเดือนก.ค. อยู่ที่ 108.71 สูงขึ้น 0.83 % หลังราคาน้ำมัน-อาหารดีดปรับตัวสูงขึ้น คาดทั้งปีอยู่ที่ 0.5% ชี้ดัชนีราคาผู้บริโภคไทยต่ำเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทยหรือเงินเฟ้อเดือนก.ค.2567 เท่ากับ 108.71 เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2566 ซึ่งเท่ากับ 107.82 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 0.83 % โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก ประกอบกับมีการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้ากลุ่มอาหาร โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป ผลไม้สด ข้าวสารเจ้า และข้าวสารเหนียว สำหรับราคาสินค้า และบริการอื่นๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก
สำหรับเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสด และพลังงานออก สูงขึ้น 0.52 % เร่งตัวขึ้นจากเดือนมิ.ย.2567 ที่สูงขึ้น 0.36 % หากรวมเงินเฟ้อ 7 เดือนของปี 2567 (ม.ค.- ก.ค.) เพิ่มขึ้น 0.11%
ทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนก.ค.ที่สูงขึ้น 0.83 % มาจากหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 1.27 %จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ ได้แก่ กลุ่มอาหารสำเร็จรูป กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง อาหารเช้า อาหารตามสั่ง กลุ่มผลไม้สด เงาะ ทุเรียน มะม่วง กล้วยน้ำว้า แตงโม ฝรั่ง กลุ่มข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว กลุ่มผักสด เช่น มะเขือเทศ ต้นหอม ขิง ฟักทอง แตงกวา กลุ่มไข่และผลิตภัณฑ์นม เช่น ไข่ไก่ นมสด นมถั่วเหลือง กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ กาแฟผงสำเร็จรูป กาแฟ (ร้อน/เย็น) น้ำหวาน) และกลุ่มเครื่องประกอบอาหาร เช่นน้ำตาลทราย กะทิสำเร็จรูป มะพร้าว ผลแห้ง/ขูด) ขณะที่สินค้าหลายรายการราคาลดลง อาทิ เนื้อสุกร ปลาทู ส้มเขียวหวาน ผักคะน้า น้ำมันพืช มะนาว กระเทียม และไก่ย่าง เป็นต้น
หมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหาร และเครื่องดื่ม สูงขึ้น 0.50 % จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิง (แก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน) อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ ค่ากระแสไฟฟ้า แชมพู สบู่ถูตัว ผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์ป้องกัน และบำรุงผิว ครีมนวดผม เสื้อยืดบุรุษ และสตรี และเสื้อเชิ้ตบุรุษ และสตรี เป็นต้น
สำหรับ อัตราเงินเฟ้อของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดเดือนมิ.ย.2567 พบว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยสูงขึ้น 0.62 % ซึ่งยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 5 จาก 135 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำเป็นอันดับ 2 ในอาเซียนจาก 9 ประเทศที่ประกาศตัวเลข เช่น บรูไน กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม สปป.ลาว
ด้านแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนส.ค.2567 คาดว่าจะใกล้เคียงกับเดือนก.ค. 2567 โดยปัจจัยสำคัญที่อาจจะทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง ได้แก่ 1. ค่ากระแสไฟฟ้าภาคครัวเรือนอยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อนหน้า จากมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ 2. ราคาเนื้อสุกรยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อนหน้า เนื่องจากมีอุปทานเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก ทำให้ราคายังคงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป 3. ราคาผักสดมีแนวโน้มลดลง หลังเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ และ 4. ฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในปีก่อนหน้าที่อยู่ระดับสูง โดยเดือนส.ค. 2566 ราคาอยู่ที่ประมาณ 86.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เทียบกับค่าเฉลี่ยล่าสุดอยู่ที่ 79.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (ณ วันที่ 30 ก.ค. 2567)
ขณะที่ปัจจัยที่คาดว่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ 1. ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศ กำหนดเพดานไม่เกิน 33 บาท ต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 2. ราคาสินค้าและบริการในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาค่าโดยสารเครื่องบินตามการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และ 3. ราคาผลไม้ปรับตัวสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากอุปสงค์ที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทุเรียน และเงาะ
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 อยู่ระหว่าง 0.0 – 1.0 % ค่ากลาง 0.5% ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จะมีการทบทวนอีกรอบ