วันพฤหัสบดี, กันยายน 26, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight‘ธปท.’ชี้สินเชื่อบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบ. น่าเป็นห่วง-หนี้เสียพุ่ง-ขอสินเชื่อไม่ผ่าน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘ธปท.’ชี้สินเชื่อบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบ. น่าเป็นห่วง-หนี้เสียพุ่ง-ขอสินเชื่อไม่ผ่าน

“ธปท.” ชี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไม่ทั่วถึง กระทบความสามารถชำระหนี้ โดยเฉพาะ “กลุ่มเปราะบาง” คุณภาพสินเชื่อด้อยทุกพอร์ต ห่วงสินเชื่อบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท เริ่มเห็นสัญญาณขอสินเชื่อไม่ผ่านมากขึ้น

นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล ของระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 2.62% ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า แต่หากแยกดูคุณภาพหนี้รายสินเชื่อ พบว่า สินเชื่อธุรกิจ หนี้เสียปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.84% หรือ 5.40 แสนล้านบาท จาก 2.80% ส่วนหนี้เสียจากสินเชื่ออุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.13% จาก 2.95%โดยเฉพาะสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่พบว่าด้อยลงทุกพอร์ตสินเชื่อ ส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้เปราะบาง ที่เคยได้รับการช่วยเหลือมาก่อนแล้วในช่วงโควิด แต่ในปัจจุบันยังไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไข รวมถึงกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวที่ทั่วถึง ส่งผลให้รายได้กลับมาช้า และยังพบว่าหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท

สำหรับสินเชื่อบ้านเริ่มเห็นสัญญาณผิดนัดชำระหนี้ และขอสินเชื่อไม่ผ่านมากขึ้น จากเดิมที่กลุ่มที่มีปัญหาการชำระหนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่มีรายได้น้อยกว่า 3 หมื่นบาท แต่ปัจจุบันเริ่มเห็นว่าขยับขึ้นไปกลุ่มที่มีรายได้มากกว่า 3 หมื่นบาท หรือราคาบ้านไม่เกิน 5 ล้านบาท

ส่วนแนวโน้มหนี้เสียมีหลุมรายใหญ่ หรือภูเขาหนี้ค่อนข้างมาก จากการฟื้นตัวไม่เท่าเทียม รายได้ไม่เพียงพอรายจ่าย มีรายได้ไม่เท่ากับภาระหนี้ที่ต้องจ่าย ดังนั้นมองไปข้างหน้าหนี้เสียยังมีทิศทางปรับเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่ายังสามารถบริหารจัดการได้ และไม่เกิดการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด (NPL Cliff)

โดยสินเชื่อ Stage2 หรือ กลุ่ม SM ที่ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน เพิ่มขึ้นทุกพอร์ตสินเชื่อ โดยภาพรวม SM อยู่ที่ 6.50% เพิ่มขึ้นจาก 6.38% โดยสินเชื่อธุรกิจเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.80% จาก 5.74% และสินเชื่ออุปโภคบริโภคค้างชำระหนี้เพิ่มขึ้นสูง โดยรวมอยู่ที่ 7.60% จาก 7.34%

ขณะที่การค้างชำระหนี้สำหรับกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ ส่วนใหญ่มาจากการจัดชั้นเชิงคุณภาพ แม้โดยรวมธุรกิจจะยังสามารถชำระหนี้ได้ แต่จากผลประกอบการที่แย่ลง หรือขาดทุน ทำให้ธนาคารปรับความเสี่ยงของลูกหนี้เพิ่มขึ้น และจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ต้องจับตามากขึ้น

ด้าน SM สำหรับสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น มาจากลูกหนี้ที่เคยอยู่ในมาตรการช่วยเหลือมาแล้ว แต่จากการปรับดอกเบี้ย หรือเข้าสู่การชำระหนี้ปกติ ทำให้ลูกหนี้บางส่วนไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงถูกจัดชั้นเชิงคุณภาพเช่นเดียวกันโดยหนี้ค้างชำระในกลุ่ม SM มองว่า กลุ่มนี้อาจไม่ได้ไปเป็นหนี้เสียทั้งหมด แต่หากดูสินเชื่อบ้านพบว่าโอกาสกลับไปเป็นหนี้เสียอยู่ที่ 18% ซึ่งต่ำกว่าในอดีต เช่นเดียวกับสินเชื่อรถ ที่โอกาสการกลับไปเป็นหนี้เสียต่ำลงเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้หากดูทิศทางราคารถในปัจจุบันเริ่มลดลง และทรงตัวได้หากเทียบกับอดีต หรือช่วงกลางปี 2566 ที่ราคารถยนต์มือสองปรับตัวลงแรง ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้แบงก์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากหากมีการยึดรถมีโอกาสขาดทุนค่อนข้างสูง และพบว่ากลุ่มที่เป็นหนี้เสียหรือค้างชำระเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทเช่นเดียวกัน

ด้านสินเชื่อเอ็มอี ถือเป็นกลุ่มที่ธปท. ห่วง และจับตามากขึ้น โดยเฉพาะเอสเอ็มอีขนาดเล็ก ที่มียอดขายต่ำกว่า 50 ล้านบาท และรายจิ๋ว ที่ยอดขายต่ำกว่า 5 ล้านบาท ที่การเข้าถึงสินเชื่อจำกัดมากขึ้น ทำให้บางส่วนหันไปใช้สินเชื่ออุปโภคบริโภค เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคลเพื่อสร้างสภาพคล่อง ทำให้ภาพรวมเปราะบางมากขึ้น โดยเฉพาะรายจิ๋ว หรือเอสเอ็มอีที่เป็นนิติบุคคลที่เหล่าสายป่านค่อนข้างสั้นและเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง

สำหรับภาพรวมสินเชื่อโดยรวม ชะลอตัวลงที่ 0.3% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 1.3% หลักๆ มาจากสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่หดตัวลง โดยขยายตัวเพียง 0.74% จากความเสี่ยงด้านเครดิตที่ชะลอตัวลง ขณะที่ภาคธุรกิจสินเชื่อหดตัวที่ 0.5% จาก 0.4%ไตรมาสก่อนหน้า โดยภาคที่สินเชื่อชะลอตัวค่อนข้างมากคือ ภาคอุตสาหกรรม ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์

ส่วนสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ ที่มีวงเงินเกิน 500 ล้านบาท ยังขยายตัวได้ที่ 2% ซึ่งลดลงจาก 3.4% จากบริษัทในกลุ่มโฮลดิ้งทียังเติบโตได้ และภาคบริการที่พักแรม สื่อสาร อสังหาฯ ที่ยังขยายตัวได้ ส่วนสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีหดตัวลงมาอยู่ที่ 5.4% จาก 5.3% จากธุรกิจค้าส่งค้าปลีก อุตสาหกรรมยานยนต์

ด้านสินเชื่อรายย่อย ชะลอตัวชัดเจน โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อ หดตัว 4.8% จาก 1.5% และสินเชื่อส่วนบุคคลชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 5.8% จาก 7.3% สินเชื่อบัตรเครดิต หดตัว 0.2% จาก 1.4% และสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ลดลงมาอยู่ที่ 0.8% จาก 1.0%

โดยสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่หดตัวลงมาคือ สินเชื่อเช่าซื้อรถ และสินเชื่อบ้าน ทั้งจากพฤติกรรมที่เน้นเช่ารถแทนการซื้อมากขึ้น และสินเชื่อที่หดตัวในกลุ่มสินเชื่อบ้าน โดยเฉพาะบ้านแนวราบต่ำกว่า 5 ล้านบาท โดยยังคงเห็นสถาบันการเงินเข้มงวดมากขึ้นในการอนุมัติสินเชื่อ จากความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น

สำหรับภาพรวมตลาดตราสารหนี้ โดยรวมหดตัว -0.5% โดยพบว่าในประเภทธุรกิจ มีการชะลอระดมทุนผ่านตราสารหนี้ จากก่อนหน้าที่เร่งระดมทุนไปแล้ว บวกกับการที่นักลงทุนมีการชะลอการลงทุนจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้น จากหุ้นกู้บางบริษัทที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่ยังเห็นตราสารหนี้ยังขยายตัวในบางกลุ่ม อาทิ กลุ่มสาธารณูปโภค อุตสาหกรรม อสังหาฯที่ยังขยายตัวได้

ส่วนข้อเสนอของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ในการให้แฮร์คัทหนี้ เฉพาะกลุ่มนั้นส่วนนี้ ต้องดูรายละเอียดอีกครั้งเมื่อเรื่องดังกล่าวมีความชัดเจน ทั้งนี้มองว่า หลักการของการแก้หนี้ครัวเรือนสิ่งที่ ธปท. กังวลคือ การทำมาตรการต่างๆ ต้องสามารถป้องกัน Moral Hazard หรือการจงใจผิดนัดชำระหนี้ และทำให้คนที่เป็นหนี้ดีกลายเป็นหนี้เสีย และมองว่าการทำมาตรการต่างๆ ต้องไม่ไปลดโอกาสของลูกหนี้ที่จะเข้าถึงสินเชื่อในอนาคต

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img