“พิพัฒน์” ยันขึ้นแน่ค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ ขณะที่บอร์ดอนุกรรมการฯ ค่าจ้าง 3 จังหวัดที่ค่าแรงขั้นต่ำขึ้นไปถึงวันละ 400 บาท ส่วนอีก 23 จังหวัดไม่ขอปรับ คลังเตรียมออกมาตรการช่วยผู้ประกอบการนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้ 1.15 เท่าเหมือนปี 61
รายงานข่าวจากคณะกรรมการค่าจ้างแจ้งว่า ในวันที่ 9 ก.ย.นี้จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรอง เพื่อพิจารณาการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ โดยดูข้อมูลของอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัด 77 จังหวัดประกอบการพิจารณา ซึ่งก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยประกาศว่าจะปรับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400 บาท ในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งได้ทยอยปรับขึ้นเป็นวันละ 400 บาท ในบางธุรกิจท่องเที่ยว 10 จังหวัด และได้ประกาศเมื่อเดือน พ.ค.2567 ว่าจะปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ในวันที่ 1 ต.ค. 67 ทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คณะอนุกรรมการพิจารณารายละเอียดแล้วว่า แต่ละจังหวัดควรจะปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานเท่าไหร่ จะเสนอเรื่องให้คณะกรรมการค่าจ้างกลางที่มีปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานพิจารณาสรุปอีกครั้ง
สำหรับข้อเสนอของคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดมีอย่างน้อย 23 จังหวัดที่ไม่เสนอปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งทำให้คงระดับค่าจ้างขั้นต่ำที่ 330-345 บาท เช่น จ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี จ.ชัยภูมิ จ.บุรีรัมย์ จ.หนองคาย จ.ชัยภูมิ จ.กาฬสินธุ์ จ.มุกดาหาร จ.ร้อยเอ็ด จ.อุบลราชธานี
นอกจากนี้ แต่ละจังหวัดมีการเสนอขั้นค่าแรงขั้นต่ำแตกต่างกันระหว่าง 2-42 บาท รวมทั้งส่วนใหญ่เสนอให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค. 68 เช่นจ. อ่างทองเสนอปรับเพิ่มขึ้น 29 บาท, จ.เลยเสนอปรับขึ้น 26 บาท จ.สมุทรปราการเสนอปรับขึ้นมากที่สุด 42 บาท ทำให้ค่าแรงขั้นต่ำมาอยู่ที่ 405 บาท แต่ข้อเสนอไม่ระบุวันที่มีผลบังคับใช้ ส่วนจ.ภูเก็ตเสนอปรับขึ้น 30 บาท เป็นวันละ 400 บาท ให้มีผลบังคับใช้เดือน ม.ค.68 ซึ่งจากข้อเสนอดังกล่าวทำให้มี 3 จังหวัดที่ค่าแรงขั้นต่ำขึ้นไปถึงวันละ 400 บาท คือ จ.ภูเก็ต กรุงเทพฯ และจ.สมุทรปราการ
สำหรับเกณฑ์การพิจารณาได้อาศัยกฎหมายมาตรา 87 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ในการพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในคณะกรรมการค่าจ้างศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่น โดยคำนึงถึงดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ มาตรฐานการครองชีพ ต้นทุนการผลิต ราคาของสินค้าและบริการ ความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม การพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจะกำหนดให้ใช้เฉพาะกิจการ งาน หรือสาขาอาชีพประเภทใด เพียงใด ในท้องถิ่นใดก็ได้
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลยังตั้งเป้าจะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ 400 บาทในวันที่ 1 ต.ค.67เหมือนเดิม แต่การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศในครั้งนี้ จะไม่รวมกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มเอ็มอี เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และการที่ได้รับผลกระทบจากการที่มีสินค้าราคาถูกและนำเข้าผิดกฎหมายเข้ามาตีตลาดเป็นจำนวนมาก จึงจะยกเว้นการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำให้กับผู้ประกอบการที่เป็นเอสเอ็มอีก่อน
นอกจากนี้ ภายหลังจากที่มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำแล้วจะมีการเสนอแพคเกจการเยียวยาช่วยเหลือผู้ประกอบการซึ่งนอกจากมาตรการของกระทรวงแรงงานจะมีมาตรการทางภาษีของกระทรวงการคลังรวมเข้ามาด้วย
โดยจะเสนอให้ ครม.พิจารณาลดเงินสมทบประกันสังคมฝ่ายนายจ้าง 1% เป็นระยะเวลา 12 เดือน ซึ่งในเรื่องนี้ได้เคยมีการหารือกับภาคเอกชนเช่น นายคุโรดะ จุน ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นประจำกรุงเทพฯ (JETRO Bangkok) และนายโคโซ โท ประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (Japanese Chamber of Commerce, Bangkok:JCC) ถึงแนวทางการออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน ในประเทศไทยเบื้องต้นให้ JETRO และ JCC รับทราบ หลังจากผู้ประกอบการญี่ปุ่นในประเทศไทย ได้สอบถามและมีข้อกังวลเกี่ยวกับการขึ้นค่าแรง ซึ่งผู้ประกอบการก็พอใจและเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบส่วนหนึ่งได้
สำหรับมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่เป็นมาตรการอื่นๆ เบื้องต้น ได้แก่ การลดภาษีค่าใช้จ่ายของสถานประกอบการ 1.5% โดยในเรื่องนี้ทางกระทรวงแรงงานจะหารือกับกระทรวงการคลังต่อไป ซึ่งมาตรการทั้งหมดที่ออกมาต้องมีการเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่พิจารณาด้วย
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังระบุว่า หากประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ทั่วประเทศ มีผลบังคับใช้ คาดว่า กระทรวงการคลัง จะมีการออกมาตรการภาษีเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบด้านต้นทุนที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ โดยให้นำค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนั้นมาใช้ด้วยการพักลดหย่อนภาษีได้เป็นการชั่วคราว
ซึ่งจะเป็นลักษณะคล้ายกับมาตรการที่เคยทำมาในอดีต เมื่อปี 61 ที่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ โดยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงให้นำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้ 1.15 เท่า หรือประมาณ 3% ของอัตราค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและต้องรอการจัดตั้งรัฐบาลให้เรียบร้อยก่อนถึงจะสรุปได้ว่าจะมีมาตรการรูปแบบใดออกมาบ้าง