เงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.41 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” รับอานิสงส์เงินเยนแข็ง หลังจากข้อมูลการจ้างงาน-เงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ของกรุงโตเกียว ออกมาดีกว่าคาดอาจส่งผลให้บีโอเจขึ้นดอกเบี้ยเดือนธ.ค.นี้
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.41 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.45 บาทต่อดอลลาร์โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แต่โดยรวมยังคงเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ใกล้โซนแนวรับ 34.40 บาทต่อดอลลาร์ (กรอบการเคลื่อนไหว 34.37-34.47 บาทต่อดอลลาร์)
โดยเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้น หลุดโซนแนวรับ 34.40 บาทต่อดอลลาร์ เพียงไม่นาน ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งเราประเมินว่า เป็นไปตามการทยอยปิดสถานะ Long USD ของผู้เล่นในตลาดเนื่องจากในช่วงเป็นช่วงวันหยุดเทศกาล Thanksgiving ในฝั่งสหรัฐฯ นอกจากนี้เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ที่ได้อานิสงส์จากการพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาดหุ้นยุโรป
ทั้งนี้เงินบาทยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน ท่ามกลางแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดช่วงปลายเดือน อีกทั้งเรายังคงเห็นโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลังราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบได้ทยอยปรับตัวลดลงในช่วงสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าตรู่ของวันนี้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ได้พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นหลุดโซน 151 เยนต่อดอลลาร์ โดยส่วนหนึ่งมาจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจญี่ปุ่น อาทิ ข้อมูลการจ้างงาน (Jobs/Applications ratio) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ของกรุงโตเกียว ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงยอดค้าปลีก (Retail Sales) ซึ่งขยายตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ทำให้ผู้เล่นในยังคงคาดหวังว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ได้ และอาจเป็นผลของการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดช่วงนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่นดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนเงินบาทในช่วงเช้านี้เช่นกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดทำการเนื่องในวันหยุด Thanksgiving ก่อนที่จะกลับมาเปิดทำการเพียงครึ่งวันในวันศุกร์นี้ โดยสัญญาณจากตลาดฟิวเจอร์สสะท้อนว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้นต่อได้ ซึ่งล่าสุดสัญญาฟิวเจอร์สดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นราว +0.24%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.46% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่ม Semiconductor อาทิ ASML +2.4% หลังผู้เล่นในตลาดมองว่า การควบคุมการส่งออกชิปของสหรัฐฯ ไปจีนนั้นอาจรุนแรงน้อยกว่าที่ตลาดเคยกังวลก่อนหน้า นอกจากนี้ หุ้นที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการทหารและการบินก็ยังพอได้แรงหนุนอยู่ อาทิ Airbus +4.1%, Rolls Royce +1.1% หลังสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังคงดำเนินต่อไป โดยล่าสุดทางการสหรัฐฯ ได้เตรียมส่งมอบอาวุธให้กับยูเครนเพิ่มเติม ก่อนที่รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะหมดวาระลงในเดือนมกราคมปีหน้า
ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Down กดดันโดยการทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD ของผู้เล่นในตลาดก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดเทศกาล Thanksgiving ของสหรัฐฯ รวมถึงการแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก อาทิ เงินยูโร (EUR) ที่ได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 106.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.1-106.4 จุด)
ส่วนราคาทองคำ แม้ว่าการซื้อขายโดยรวมจะเบาบางลงบ้าง ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุด Thanksgiving ของสหรัฐฯ อีกทั้งเงินดอลลาร์ก็ย่อตัวลงบ้าง แต่ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) ก็ยังถูกกดดันจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คลายกังวลปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ทำให้ราคาทองคำย่อตัวลงสู่โซน 2,660 ดอลลาร์
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนพฤศจิกายน รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB ซึ่งล่าสุดผู้เล่นในตลาดคงมุมมองเดิมว่า ECB มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม และมีโอกาสลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกราว 4-5 ครั้ง ครั้งละ 25bps ในปีหน้า นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ด้วยเช่นกัน ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE รวมถึง รายงานเสถียรภาพการเงิน (Financial Stability Report) ของ BOE
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) ของจีน ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะรายงานในช่วงเช้าของวันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน นี้ โดยหากรายงานดัชนี PMI ของจีน สะท้อนภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจช่วยลดแรงกดดันต่อตลาดการเงินจีน โดยเฉพาะเงินหยวนจีน (CNY) ในระยะสั้นได้
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งอาจกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน รวมถึงการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง ทองคำ ได้
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามีความมั่นใจต่อ Call USDTHB Short-term Peak แถว 35 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อ ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน มากขึ้น หลังเงินบาทได้ทยอยแข็งค่าขึ้นหลุดโซนแนวรับ 34.40 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ในเชิงกลยุทธ์ Trend-Following นั้น หากใช้สัญญาณจาก SuperTrend (KivancOzbilgic) จะสะท้อนว่า เงินบาทมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้ โดยเงินบาทอาจมีโซนแนวรับถัดไปแถว 34.20 บาทต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ดี เรายอมรับว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจค่อยเป็นค่อยไปได้ เนื่องจากเรายังคงเห็นแรงซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนจากผู้เล่นในตลาด รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำและน้ำมันดิบในช่วงนี้
ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงนั้น หากเงินบาทเริ่มมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น ฝั่งผู้ส่งออกที่มีความจำเป็นในระยะสั้น อาจพิจารณารอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าลงบ้างในการทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือ ปิดความเสี่ยง (Sell USD on Rally) เนื่องจากเราประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น และอาจแกว่งตัวในโซน 34 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้นมากกว่านั้นได้บ้าง ในช่วงเดือนธันวาคม จนถึงช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า ก่อนที่เงินบาทจะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ เมื่อตลาดเริ่มกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ซึ่งหากการประเมินของเรานั้นถูกต้อง อีกทั้งเงินบาทก็เคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับสัญญาณ SuperTrend มองว่า ฝั่งผู้นำเข้าก็อาจรอจังหวะปิดความเสี่ยงได้ โดยอาจจับตาการเคลื่อนไหวของเงินบาทในโซนแนวรับ เช่น โซน 34.20 บาทต่อดอลลาร์ โซนแนวรับถัดไป 34.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นต้น
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.25-34.45 บาทต่อดอลลาร์