“สุรพล” ประเมินหนี้ครัวเรือนไทยสัดส่วน 89.6% ต่อจีดีพี หรือคิดเป็นมูลหนี้ 16.3 ล้านล้านบาท ระบุหนี้เสียแตะ 1.2 ล้านล้านบาท รถยนต์เตรียมถูกยึด 5.37 แสนคัน คิดเป็นสินเชื่อ 1.97 แสนล้านบาท
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร” เปิดเผยว่า หนี้ครัวเรือนไทย ที่จำนวน 16.3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 89.6% ต่อจีดีพีไทยแม้ตัวเลขลดลง แต่ภาระหนี้ไม่ได้ลดลง จากข้อมูลสินเชื่อที่อยู่บนเครดิตบูโรทั้งหมดที่ 13.6 ล้านล้านบาทพบว่า เป็นหนี้เสีย หรือค้างชำระเกิน 90 วันแล้ว คิดเป็น 1.2 ล้านล้านบาท หากคิดเป็นบัญชี คนที่เป็นหนี้เสียแล้ว 5 ล้านคน จากลูกหนี้ทั้งหมดในระบบเครดิตบูโรที่มี 33 ล้านลูกหนี้
โดยพบว่าหนี้เสีย 1.2 ล้านล้านบาท มาจาก หนี้บ้าน 2.3 แสนล้านบาท หนี้รถ 2.6 แสนล้านบาท หนี้บัตรเครดิต 7 หมื่นล้านบาท สินเชื่อส่วนบุคคลอีก 2.78 แสนล้านบาท และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์อีก 1 หมื่นล้านบาทที่จ่ายหนี้ไม่ได้คาดว่า หนี้เสียจะไปแตะ1.4 ล้านล้านบาทในระยะข้างหน้า
แม้ว่าศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า สินเชื่อทั้งระบบจะเติบโตได้เพียง 0.6% เท่านั้น จากปีนี้ที่คาดติดลบ 1.8 % ซึ่งการติดลบดังกล่าวเป็นการติดลบในรอบ 15 ปี เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงอาการของเศรษฐกิจไทยโตต่ำ โดยที่น่าเป็นห่วงคือ สินเชื่อรถ ปัจจุบันเป็นหนี้เสียแล้ว 2.6 แสนล้านบาท หรือมีบัญชีที่เป็นหนี้เสียแล้ว 8.36 แสนคัน และที่เป็น SM กำลังจะถูกยึดรถอีก 5.37 แสนคัน หรือคิดเป็นสินเชื่อ 1.97 แสนล้านบาท ที่อาการยังน่าห่วงมาก
โดยเฉพาะรถปิกอัพใน 100 คัน เป็นหนี้เสีย 52 คันเป็นรถปิกอัพ ซึ่งสินเชื่อที่ปล่อยรถยนต์ทั้งหมดมี 6.6 ล้านคันสัดส่วน 43% เป็นรถปิกอัพ และขณะนี้รถปิกอัพที่ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 2.9 ล้านคนในนี้ เป็นหนี้ปกติ 2.1 ล้านคัน และที่ค้างชำระ กำลังจะถูกยึดรถ 2.84 แสนคันบัญชี คิดเป็นวงเงินสินเชื่อ 1 แสนล้านบาท คิดเป็น 51.4% ของสินเชื่อรถยนต์ทั้งหมด
โดยเป็นหนี้เสียแล้ว 4.71 แสนคัน หรือ 1.51 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% จากเดือนก่อนหน้านี้ และเพิ่มขึ้น 27.5% จากปีก่อน และยังมีหนี้ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้อีก 6.6 หมื่นคัน คิดเป็นสินเชื่อ 2.6 หมื่นล้านบาท หรือ 56 % สินเชื่อรถทั้งหมด
ขณะที่กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงิน ร่วมกันออกคือโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่มองว่า จะมีส่วนช่วยให้คุณภาพหนี้ปี 2568 ดีขึ้น คาดว่าจะช่วยไม่ให้หนี้เสียที่เพิ่มขึ้นอีก 2 แสนล้านบาท ไปสู่ 1.4 ล้านล้านบาท เหมือนที่คาดไว้ตั้งแต่แรก ทำให้หนี้เสียในระยะข้างหน้าอาจทรงตัวอยู่ที่ระดับ 1-1.2 ล้านล้านบาทต่อไปในปี 2568
