วันศุกร์, มกราคม 31, 2025
หน้าแรกHighlightคลังเตรียมออกโทเคนอิงพันธบัตรรัฐบาล เฟสแรกวงเงิน 1 หมื่นล้านบาทภายในปีนี้
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

คลังเตรียมออกโทเคนอิงพันธบัตรรัฐบาล เฟสแรกวงเงิน 1 หมื่นล้านบาทภายในปีนี้

“พิชัย” เผยคลังเตรียมออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนอิงพันธบัตรรัฐบาลวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท คาดได้ข้อสรุปภายในปีนี้ จ่อชงครม.เพิ่มอำนาจก.ล.ต. เชือดคดีหลักทรัพย์ได้เร็วขึ้น

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง เล็งออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) ที่อิงพันธบัตรรัฐบาล โดยเป็นการนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล มาประยุกต์ใช้กับการออกพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งกระทรวงการคลังมีการออกพันธบัตรรัฐบาลอยู่แล้วในทุกปี

โดยในเฟสแรก จะเป็นการออกเป็นรูปแบบ Investment Token ที่ประชาชนทั่วสามารถเข้าถึงได้ และอยู่ในแพลตฟอร์ม ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนารูปแบบของระบบที่จะมารองรับ ทำให้พันธบัตรรัฐบาลมีสภาพคล่องมากขึ้น จากรูปแบบดั้งเดิมที่นักลงทุนที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลส่วนใหญ่ เป็นนักลงทุนสถาบัน โดยวงเงินเบื้องต้นอยู่ราว 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปี 68

ส่วนในเฟสที่ 2 จะพัฒนาไปสู่รูปแบบที่คล้ายกับ Stable Coin ที่มีการอ้างอิงกับพันบัตรรัฐบาล และสามารถนำมาใช้จับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าและบริการได้ โดยจะเป็นโครงการในอนาคต อย่างไรก็ดี ในเฟสที่ 2 อาจจะต้องปรึกษาหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเรื่องของการนำมาใช้จ่ายแทนเงิน แต่คาดว่าจะไม่มีปัญหาติดขัดอะไร เพราะเป็นโครงการของรัฐบาลที่ทำออกมา และมีความน่าเชื่อถือได้

“อยากเอา Government bond มาทำอะไรบางอย่าง ซึ่งคิดว่า Government bond ก็มีค่าเทียบเท่ากับ Stable coin ได้ ทำไมต้องให้คนเอาไปเก็บเงินใน saving มันน่าจะเชื่อมต่อกับ merchant ได้ไหม ซึ่งเรื่องนี้กลไกทำได้ไม่ยากอยู่แล้ว หากเราเปิดให้สิ่งเหล่านี้ ก็จะเป็นทางเลือกมากขึ้นให้กับนักลงทุนรายย่อย แทนการออมในรูปแบบเดิม” นายพิชัย ระบุ

นอกจากนี้ได้ออก พ.ร.ก.เพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เช่น การทำหน้าที่สอบสวน และรวบรวมสำนวนในคดีเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ซึ่งกระทรวงการคลัง เตรียมเสนอครม.ภายใน 2 สัปดาห์ โดย พ.ร.ก.จะทำให้การบังคับใช้กฎหมายรวดเร็วขึ้นได้ 6-7 เดือน

ซึ่งอยากเห็นบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) มีส่วนร่วม และมีบทบาทในการประกอบธุรกิจ และผลักดันอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยไม่ต้องจัดตั้งบริษัทใหม่ เพราะมองว่า บล. มีจุดแข็งที่ใกล้ชิดกับผู้ลงทุน และอยู่ภายใต้พ.ร.บ.หลักทรัพย์ มีการกำกับดูแลจาก ก.ล.ต. และอยากเห็นการใช้สินทรัพล์ดิจิทัลที่นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ที่สร้างมูลค่าให้เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย

” ต้องการให้บริษัทหลักทรัพย์ เข้ามามีบทบาทใน Digital asset โดยที่ไม่ต้องไป set บริษัทใหม่ ถ้าทำได้จะดียิ่งขึ้น มันจะช่วยสร้าง satisfied หรือ optimize ให้กับนักลงทุน และอีกสิ่งคือเมื่อจะทำ Digital asset จะกลัวไปหมด รัฐบาลก็กลัว ดังนั้นจึงคิดว่า อยากเห็นว่าเมื่อจะทำ ต้องให้เกิดความสมดุลระหว่างการคุ้มครองผู้ลงทุน กับการพัฒนาไปสู่นวัตกรรมใหม่ ถ้าเราไม่กล้าทำ ก็ไม่เกิด ดังนั้นอาจทำผ่าน sandbox ในพื้นที่จำกัดหรือพื้นที่ทดลอง ด้วยจำนวนที่น้อย และอย่าไปสร้างเงื่อนไขที่เข้มงวด สามารถหยิบผลจากการทดสอบนี้ขึ้นมาทำต่อได้ Gold Standard ไม่ได้เกิดภายในวันเดียว ต้องมีการทดลองก่อน”

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นหลักทรัพย์ในรูปแบบเก่า หรือหลักทรัพย์รูปแบบใหม่ที่เป็น Digital Asset นั้น จริงๆ แล้วนักลงทุนก็คือกลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นรายย่อย รายใหญ่ นักลงทุนสถาบัน ในประเทศหรือต่างประเทศ หรือกองทุน ถ้าแยกทำเป็น 2 ส่วน จะไม่ได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนเลย เพราะจริง ๆ แล้ว source of fund ของนักลงทุนก็มาจากที่เดียวกัน ดังนั้นจึงควรจะสามารถเชื่อมกันได้อย่างไร้รอยต่อ

สำหรับสิ่งที่ต้องการเห็นการดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อเป็นส่วนในการสร้าง trust & confidence ในตลาดทุนของไทย มี 2 เรื่อง คือ 1.กระบวนการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับผู้กระทำผิด และดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดในระยะเวลาที่รวดเร็วขึ้น ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลัง และ ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายร่วมกันในการเพิ่มอำนาจให้ ก.ล.ต.สามารถบังคับใช้กฎหมายได้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่มีผลกระทบในวงกว้าง หรือ High Impact

2.การยกระดับการทำหน้าที่ของ Professional โดยเห็นว่าความรับผิดชอบเฉพาะแค่บุคคลอาจจะไม่เพียงพอหรือไม่ แต่ควรเป็นความรับผิดชอบของสำนักงาน รวมไปถึงความเข้มงวดในการตรวจสอบบัญชี ซึ่งนอกเหนือจากความรู้ที่มีในเรื่องการตรวจสอบบัญชีแล้ว จะต้องมีความเข้าใจใน industry Knowledge ด้วย

ส่วนกรณีที่ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงในขณะนี้ โดยมองว่า สอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลงเช่นเดียวกัน เพราะนักลงทุนยังอยู่ในช่วง Wait & See รอปัจจัยต่างๆ ซึ่งมีความผันผวนและไม่แน่นอน ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง และยืนยันว่ากองทุนวายุภักษ์ยังไม่หมดแรงในการเข้ามาช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย แต่ผู้บริหารกองทุนวายุภักษ์จะหาจังหวะในการเข้าลงทุนที่เหมาะสม เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหน่วยกองทุนวายุภักษ์ได้อย่างสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตาม การผลักดันประเทศไทยไปสู่ Finance Hub โดยมองว่า เป็นโอกาสของประเทศไทยในการดึงดูดบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทย แต่กระทรวงการคลัง ยังมองความเสี่ยงในบางจุดที่ต้องระมัดระวัง โดยช่วงแรก อาจเป็นการให้สถาบันการเงินจากต่างชาติเข้ามาดำเนินธุรกิจในไทย แต่ให้บริการเฉพาะลูกค้าต่างชาติเท่านั้น ซึ่งเป็นการทดลองในช่วงแรก ก่อนที่จะขยายการบริการให้กับลูกค้าในประเทศ

ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังยังมีความตั้งใจอยากดึงบริษัทชั้นนำของไทยที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img