”รองนายกรัฐมนตรี’’แจงโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” คิดบนพื้นฐานของข้อมูลที่เชื่อถือได้ เชื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ถึง 240,000-300,000 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.64 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน โพสต์ชี้แจงโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” โดยย้ำว่า โครงการนี้ไม่ใช่โครงการที่คิดขึ้นมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไม่มีที่มาที่ไป แต่มีวิถีคิดบนพื้นฐานของข้อมูลที่เชื่อถือได้ ผมได้ชี้แจงประเด็นนี้ไว้ในการประชุมสภาฯ รับหลักการร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปี พ.ศ. 2565 เมื่อวาน (2 มิ.ย. 64) ดังนี้ครับ
ดังที่มีท่านสมาชิกฯ สงสัยว่าแนวคิดของ ครม. ในการกระตุ้นการใช้จ่ายโดยมุ่งพิจารณาผู้ที่มีรายได้สูง ผ่านการคิดโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ดูไม่มีที่มาที่ไปนั้น ที่จริง ครม. คิดโครงการนี้บนพื้นฐานของข้อมูลที่เรามีและเชื่อถือได้ครับ
โดยจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วงปลายปี 63 เมื่อเทียบกับปี 62 ซึ่งถึงแม้จะอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เรากลับพบว่ามีสภาพคล่องหรือเงินฝากที่อยู่ในบัญชีเงินฝากสูงขึ้นถึง 820,000 ล้านบาท จึงเป็นที่มาของแนวคิดโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ที่จะดึงดูดและเชิญชวนกลุ่มคนที่มีรายได้สูงหรือมีเงินฝากเป็นจำนวนมากให้มาจับจ่ายใช้สอย เพราะแม้อาจมีจำนวนไม่มาก แต่หากกลุ่มคนจำนวนไม่กี่ล้านคนนี้ใช้จ่ายเป็นหลักหมื่นหลักแสน นั่นจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน
รัฐบาลคาดหวังที่จะกระตุ้นกลุ่มคนจำนวนไม่กี่ล้านคนที่มีสภาพคล่องสูงขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมานี้ ให้จับจ่ายใช้สอยผ่านโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” เพราะถ้าดึงดูดให้เขามาเข้าร่วมในโครงการได้ ก็น่าจะช่วยให้มีเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ถึง 240,000-300,000 ล้านบาท ทั้งหมดนี้คือวิถีคิดและที่มา ยืนยันว่าเราคิดโครงการแบบมีที่มาที่ไปและตั้งอยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ข้อมูลจากความเป็นจริงครับ
#ประเทศไทยต้องไปต่อ #ขับเคลื่อนไปด้วยกัน #SupattanapongP