“วรุต” ประเมินทิศทางทองคำในสัปดาห์หน้าดีดปรับตัวขึ้น หลังซิตี้กรุ๊ป-ยูบีเอส ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำ เกาะติดดัชนี PMI ภาคการผลิต-บริการเดือนม.ค.ของสหรัฐฯ-สงครามทางการค้า
นายวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด เปิดเผยทิศทางทองคำในสัปดาห์หน้าว่า มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากวาณิชธนกิจขนาดใหญ่มีมุมมองเชิงบวกวาณิชธนกิจต่อแนวโน้มราคาทองคำในอนาคต ทั้งนี้ ซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำในระยะใกล้ (0-3 เดือน) ขึ้นสู่ระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากเดิม 2,800 ดอลลาร์ และคงตัวเลขคาดการณ์ราคาทองคำในช่วง 6-12 เดือนเอาไว้ที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์ และ ยูบีเอส (UBS) คาดว่าราคาทองคำยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นอีก โดยยูบีเอสได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำขึ้นสู่ระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
โดนราคาทองคำช่วง 1-7 ก.พ. โดย ราคา Gold SPORT ปรับตัวขึ้น ประมาณ 67 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขึ้นทำ All Time High ใหม่ ที่ระดับ 2,882 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทองแท่ง 96.5% ปรับตัวขึ้นประมาณ 1200 บาท ขึ้นแตะระดับ All Time High เดิมที่ระดับ 45,750 บาท
ปัจจัยที่แนะนำให้ติดตาม
-การเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ โดยมี ดัชนี PMI ภาคการผลิต และ ภาคการบริการเดือนม.ค.จาก ISM, -ตัวเลขที่สำคัญทางเศรษฐกิจสหรัฐ อย่างเช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนม.ค. ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ และ ยอดค้าปลีกเดือนม.ค.ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐ
-ประเด็นสงครามการค้าจากมาตรการภาษีของสหรัฐระหว่างสหรัฐ-จีน มีโอกาสยืดเยื้อ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ กล่าวว่า ตนเองยังไม่เร่งรีบที่จะพูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน เพื่อหาทางคลี่คลายสงครามการค้า
-แนวโน้มที่จีนตอบโต้ สหรัฐประเด็นสงครามการค้าที่รุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้ หน่วยงานกำกับดูแลการผูกขาดของจีนกำลังเตรียมสอบสวนการผูกขาดตลาดของ Apple ในด้านนโยบายและค่าธรรมเนียมที่ Apple เรียกเก็บจากผู้พัฒนาแอป ซึ่งถือเป็นมาตรการล่าสุดที่จีนตอบโต้สหรัฐฯ
-บรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ ออกมาแสดงความกังวลในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จากความไม่แน่นอนในมาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมย้ำถึงผลกระทบต่อเงินเฟ้อ อาจทำให้เฟดต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้สูงขึ้นเป็นเวลานานขึ้น
-สก็อตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนการกู้ยืม โดยพิจารณาจากผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี มากกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นซึ่งเป็นเกณฑ์อ้างอิงของธนาคารกลางสหรัฐฯ
