“วรภพ” ถามกระทู้เย้ย รบ.สอบตกกระตุ้นเศรษฐกิจโต ยังจะเดินหน้าปี 68 หรือไม่ ด้าน ”เผ่าภูมิ” ยันแรงเหวี่ยงเศรษฐกิจผงกหัวต่อเนื่อง เงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 1 ลดความเหลื่อมล้ำได้ ขณะที่ “ไอซ์ รักชนก” เปิดศึก “รองประธาน” ถามเป็นกลางไหมคะ! เร่งคนตั้งกระทู้จนเสียจังหวะพูด ขณะ “พิเชษฐ์” โต้เขาให้ถามไม่ใช่อภิปรายไปเรื่อย
วันที่ 20 ก.พ.2568 เวลา 10.30 น.ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาฯ ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ซึ่งมีการพิจารณากระทู้ถามสดเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของนายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ถามนายกฯ ว่าประชาชนคาดหวังต่อรัฐบาลชุดนี้ หลังการประกาศจีดีพีของประเทศ ทั้งไตรมาสที่ 4 และของปี 67 เป็นปีแรกภายใต้การบริหารของพรรคเพื่อไทยเติบโตได้เพียง 2.5% น้อยที่สุดในประเทศอาเซียน ถือว่าน้อยกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ และจะมองว่ารัฐบาลสอบตกในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้หรือไม่ เนื่องจากพรรคเพื่อไทย เคยอวดอ้างว่า เศรษฐกิจจะโตถึง 5% ต่อปี ส่วนมาตรการเรือธงอย่างดิจิทัลวอลเลต ก็นำทุกองคาพยพมาทำ กว่า 90% ของมาตรการกระตุ้นเศรษกิจทั้งหมด และจะเกี่ยวพันไปถึงอนาคต แล้วเหตุใดมาตรการนี้ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่รัฐบาลจะยังคงเดินหน้าต่อ
ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ชี้แจงว่า แรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นรายไตรมาส ซึ่งมีการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถือว่าเป็นทิศทางเศรษฐกิจผงกหัวขึ้นทุกปี ตัวเลขที่ออกมาหากย้อนกลับไปในช่วงต้น หลายสำนักปรามาสเราว่า จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ที่ 2.1% หรือ 2.2% แต่สุดท้ายเราปิดได้ที่ 2.5% โดยส่วนต่าง 0.3-0.4% นี้ ถือว่ามหาศาลในทางเศรษฐกิจ เป็นการเติบโตสูงสุด ในรอบ 9 ไตรมาส รวมถึงตัวเลขด้านอื่นๆ ก็เติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน และปี 68 ไตรมาสแรก เราก็คาดการณ์ว่า ตัวเลขจะออกมาดี มีแรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง และยังมีมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกหลายเรื่อง ส่วนโครงการแจกเงินหมื่นเฟสหนึ่งยืนยันว่าเป็นการกระจายที่ถูกฝาถูกตัว ลงไปในจังหวัดที่มีสัดส่วนคนยากจนสูงเป็นจังหวัดแรกๆ และกระจายไปสู่ในทุกพื้นที่ ส่วนข้อกังวลที่ว่า เงินจะกระจุกอยู่ที่รายใหญ่นั้น กว่า 68% ลงไปที่รายย่อย และการที่ประชาชนใช้เงินหมดอย่างรวดเร็วภายใน 3 เดือน ก็ถือว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รวดเร็วรุนแรงทันท่วงที รวมถึงการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ในไตรมาสที่ 4 ก็เพิ่มขึ้นถึง 11% สูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส
“ถ้าดูแค่ที่ตัวเลข ไม่ได้มีอคติ ผมคิดว่าคำตอบ เราคงเป็นคำตอบเดียวกัน โครงการนี้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี รัฐบาลสามารถปิดการบริหารเศรษฐกิจในปี 67 ได้ดี และมีแรงเหวี่ยงเชิงบวกส่งต่อไปถึงปี 68” นายเผ่าภูมิ กล่าว และว่าการกระจายเงินเฟสหนึ่ง ที่สามารถลดความเหลื่อมล้้ำ ได้ 0.01% หากเปรียบเทียบกับระยะเวลา ถ้าไม่มีการทำอะไรเลย คือเวลาถึง 3 ปี ดังนั้น โครงการนี้ร่นระยะเวลาให้น้อยลง
นายวรภพ กล่าวอีกว่า หากย้อนไปดูการสัมภาษณ์เคยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตมากกว่าตัวเลขที่เกิดขึ้นจริง สรุปแล้วมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเป็นอย่างไรกันแน่ เนื่องจากเมื่อดูในรายละเอียดข้อมูลทางเศรษฐกิจอยู่ที่ภาคการผลิตไม่ได้อยู่ที่การบริโภค เพราะเจอปัญหาสินค้าต่างชาติเข้ามาตีตลาด เป็นปัญหาที่เร่งด่วน และเป็นเรื่องสำคัญของเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น เหตุใดรัฐบาลจึงยังไม่ทำอะไรเลย ความกังวลของสถาบันทางการเงินที่ไม่ยอมปล่อยสินเชื่อ จากความไม่มั่นใจในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่งผลให้เงินทุนในระบบลดลง หากเทียบกับโครงการแจกเงินหมื่น แล้ว งบประมาณอุดหนุนสถาบันการเงินกลับเป็นเสี้ยวเดียว ทั้งที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจได้มากกว่า
นายเผ่าภูมิ ชี้แจงว่า การล้นทะลักของสินค้า ซึ่งทางกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ทำงานร่วมกัน ในการเตรียมการรับมือ ส่วนการกระจายเม็ดเงินทางด้านสินเชื่อ เรามองเห็นตรงกัน เนื่องจากสินเชื่อจากธนาคารสถาบันเฉพาะกิจของรัฐมีการเร่งรัด อย่างเต็มที่ และมีผลการปล่อยสินเชื่อที่น่าพึงพอใจลงไปสู่รายย่อย แต่ปัญหาและข้อจำกัดอยู่ที่สินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถไปบีบคอบอกให้เขาปล่อยได้ ซึ่งเรามีกลไกในการลดความเสี่ยงของคน เพื่อทำให้สถาบันการเงินนั้น ปล่อยสินเชื่อ ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในกลไกการค้ำสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ เพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องนี้ โดยทั้งหมดนี้ บ่งบอกว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องสินเชื่อ และสภาพคล่องในตลาด
ทำให้นายวรภพ ถามต่อว่า กรอบวงเงินที่ยังใช้ไม่หมดเป็นผลสะท้อนว่าเหตุใดเศรษฐกิจจึงไม่เติบโต เนื่องจากธนาคารไม่สามารถปล่อยสินเชื่อ จึงมองว่าไม่ควรรอพ.ร.บ.ใหม่ เหตุใดถึงไม่ทำให้มาตรการนี้เกิดขึ้นในปีนี้ และโครงสร้างสำคัญ ในการพัฒนาโครงสร้างใหญ่ ทั้งคนและนวัตกรรม ทลายทุนผูกขาด ก็ยังไม่เห็นความคืบหน้า เมื่อไหร่รัฐบาลจะเริ่มทำในเรื่องยาก
รมช.คลัง ชี้แจงว่า รัฐบาลใช้กลไกที่มากกว่างบประมาณในการลดสัดส่วนการใช้กำไรในการประเมิน เพื่อให้ธนาคาร อย่างธนาคารออมสิน ตัดกำไรของตัวเอง ไปปล่อยสินเชื่อ โดยที่รัฐบาลไม่ต้องใช้เงินแม้แต่แบบเดียว เป็นกลไกที่เราเข้าไปแก้ที่ต้นตอ เพื่อให้ธนาคารนำเงินมาช่วยเหลือประชาชน ยืนยันว่า บสย. กำลังดำเนินการอยู่ ส่วนการที่ยังใช้งบประมาณไม่หมดนั้น เนื่องจากเราให้งบประมาณที่สูง จะได้ไม่ต้องมาขอเรื่อยๆ และเรามีแผนจะขยายให้ครอบคลุมสินเชื่ออื่นๆ ด้วยส่วนเรื่องโครงสร้าง เรามี พ.ร.บ.ศูนย์กลางทางการเงิน ซึ่งจะเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างที่สำคัญของประเทศ เป็นเรื่องยาก ที่จะต้องเขียนกฎหมายฉบับใหม่ ยืนยันว่า รัฐบาลดูแลทั้งปัญหาระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการถามกระทู้ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน ลุกประท้วงประธานว่า ขอให้ควบคุมการประชุมและวางตัวให้เป็นกลางด้วย เพราะผู้ตั้งกระทู้ถามเวลายังเหลืออีก 1 นาที แต่ท่านประธานเร่งถึง 3 ครั้ง ทำให้มันขัดจังหวะการพูด แต่ท่านรัฐมนตรีตอบเกินไป 1 นาทีท่านไม่เตือนเลยสักครั้ง กลางไหม
ทำให้นายพิเชษฐ์ ตอบกลับว่า การตอบกระทู้ถามถามได้ 3 ครั้งภายใน 30 นาที ตนดูแล้วเวลาของผู้ถามกับเวลาของผู้ตอบ เราสามารถอะลุ่มอล่วยให้อยู่ใน 30 นาทีได้ ผู้ถามก็อภิปราย จริงๆแล้วไม่สามารถอภิปรายไปเรื่อยได้ แต่ก็ให้ท่านอภิปรายจนเวลาหมด