วันจันทร์, มีนาคม 31, 2025
หน้าแรกNEWSTISCO ESU-ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดกนง.คงดอกเบี้ย 2.25%
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

TISCO ESU-ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดกนง.คงดอกเบี้ย 2.25%

TISCO ESU-ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดกนง.คงดอกเบี้ย 2.25% ในการประชุมวันนี้ (26 ก.พ.) เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคตในช่วงที่เศรษฐกิจเผชิญความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะนโยบาย “ทรัมป์”

นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ ( 26 ก.พ.) คาดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.25% ในการประชุมนัดแรก เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต (Policy Space) ท่ามกลางประสิทธิผลของนโยบายการเงินที่ลดลง โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง

“จากสัญญาณที่ กนง. ส่งออกมาในการประชุม Monetary Policy Forum เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้ TISCO ESU มองว่า กนง. จะเลือกคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ก่อน พร้อมติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจ และทิศทางนโยบายต่าง ๆ ของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะนโยบายการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ (Tariff)” นายเมธัส กล่าว

ทั้งนี้ TISCO ESU ประเมินว่า กนง. มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% หรือ 25 bps 1 ครั้งในปีนี้ โดยจะปรับลดในช่วงกลางปีเป็นต้นไป จากเดิมที่คาดว่าจะเริ่มปรับลดตั้งแต่การประชุมนัดแรกของปี 2568

สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทย หากย้อนไปในปี 2567 พบว่า เศรษฐกิจขยายตัวเพียง 2.5% ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ของหลายฝ่าย รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ที่เติบโตเพียง 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) สะท้อนถึงความเปราะบางและการฟื้นตัวที่ล่าช้า

“TISCO ESU ประเมินว่า ภาคการผลิต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และธุรกิจเอสเอ็มอี ยังคงมีความน่าเป็นห่วง จากอัตราการใช้กำลังการผลิต (CapU) ที่ลดลงต่อเนื่อง และข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ ส่งผลให้การลงทุนของภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่องกว่า 3 ไตรมาส อย่างไรก็ดี รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการช่วยเหลือโดยเร็ว เพราะหากปล่อยให้สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นกดดันธุรกิจในประเทศ ต่อไปก็อาจนำไปสู่ การปิดโรงงานและการปลดพนักงานเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนที่อ่อนแออยู่แล้วให้ย่ำแย่ลงไปอีก”

นายเมธัส กล่าวว่า ในปี 2568 แม้เศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน แต่ยังมีโอกาสขยายตัวที่ 3.0% หากภาครัฐสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนโครงการขนาดใหญ่ทั้งจากรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงสามารถดึงเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ให้เกิดขึ้นจริง จากยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนของ BOI ในปี 2567 ที่มีมูลค่าสูงสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่การบริโภคในประเทศ แม้จะมีแนวโน้มชะลอลงจากปี 2567 แต่ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ โดยคาดว่าจะมีแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่คาดว่าจะมีการแจกเงินเพิ่มเติมอีกหลายเฟส

“เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตที่ 3% แต่มีความเสี่ยงด้านลบ (Downside Risk) หลายประการ ทั้งภาระหนี้สินภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง การเติบโตของรายได้ที่ยังไม่ทั่วถึง คุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง ความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเอสเอ็มอี ภาคการผลิตทีี่เผชิญแรงกดดัน รวมถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด” นายเมธัส กล่าว

รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยแจ้งว่า คาดกนง. มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 2.25% ต่อเนื่อง โดยกนง. มีแนวโน้มรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจไทยภายใต้ความไม่แน่นอนที่มีอยู่สูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงจากนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ขณะที่โมเมนตัมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้คาดว่าจะยังขยายตัวได้ใกล้เคียงกับระดับอัตราการขยายตัวในไตรมาส 4/2567 ที่อยู่ที่ 3.2% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเร่งส่งออก และการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ

โดยในปี 2568 มีความเป็นไปได้ที่กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 1-2 ครั้ง โดยกนง. คงให้น้ำหนักกับความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงินภายในประเทศเป็นสำคัญ ทิศทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินทั่วโลกที่ล่าช้าออกไปตามธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงไม่ใช่ปัจจัยหลักที่กนง. นำมาพิจารณาจังหวะในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของไทย

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยงที่สูงขึ้นโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 จากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก โดยการส่งออกของไทยในปี 2568 คาดว่าจะชะลอตัวลงจากผลกระทบของสงครามการค้ารอบใหม่ ขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันจากภาคการผลิตที่ยังไม่ฟื้นตัว และการใช้จ่ายของครัวเรือนที่มีโมเมนตัมชะลอลงท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของครัวเรือนได้จำกัดและในระยะสั้นเท่านั้น

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img