วันจันทร์, มีนาคม 10, 2025
หน้าแรกHighlightรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ-ลดภาระค่าครองชีพ ดันดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้น6เดือนติดต่อ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ-ลดภาระค่าครองชีพ ดันดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้น6เดือนติดต่อ

“พูนพงษ์” เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ. อยู่ที่ระดับ 52 ดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 เดือน สะท้อนมุมมองเชิงบวกของประชาชนต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะความเชื่อมั่นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 6,275 ราย ซึ่งครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนกุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ระดับ 52 ยังคงอยู่ในช่วงเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 และเพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค.อยู่ที่ระดับ 51.5 สะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกของประชาชนต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะความเชื่อมั่นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ราคาสินค้าเกษตรสำคัญที่ปรับตัวดีขึ้น และการส่งออกที่เติบโตได้ดีในตลาดสำคัญ

นอกจากนี้ มาตรการของภาครัฐที่เข้มงวดกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการทำธุรกรรมของประชาชนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หนี้ครัวเรือนยังคงเป็นปัญหาภายในประเทศที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นของประชาชน รวมถึงยังมีปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ ความผันผวนของสถานการณ์โลกจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐอเมริกาที่จะส่งผลกระทบทั้งในภาคการค้าระหว่างประเทศและสถานการณ์ความขัดแย้งโลก

โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนียังคงอยู่ในช่วงเชื่อมั่น เนื่องจาก 1.การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชนอาทิ มาตรการภาษี Easy E-Receipt 2.0 และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ (เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท) เป็นต้นซึ่งช่วยลดภาระค่าครองชีพและส่งเสริมภาคธุรกิจ 2.ราคาสินค้าเกษตรสำคัญปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะปาล์มน้ำมันและยางพารา รวมถึงพืชผลการเกษตรหลายชนิดทยอยเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร 3.การเร่งแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเข้มงวด ช่วยลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่นใจในการทำธุรกรรมทางการเงินของประชาชน และ 4.การส่งออกไทยยังขยายตัวได้ดีในตลาดส่งออกสำคัญ

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า ด้านเศรษฐกิจไทยส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 50.15 รองลงมาคือ มาตรการของภาครัฐ คิดเป็นร้อยละ 14.82 ราคาสินค้าเกษตร คิดเป็นร้อยละ 7.76 เศรษฐกิจโลก คิดเป็นร้อยละ 7.33 สังคม/ความมั่นคง คิดเป็นร้อยละ 7.22 การเมือง คิดเป็นร้อยละ 3.90 ผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง คิดเป็นร้อยละ 3.86 ภัยพิบัติ/โรคระบาด คิดเป็นร้อยละ 2.79 และอื่น ๆ คิดเป็นร้อยละ 2.17 ตามลำดับ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายภูมิภาค จำนวน 5 ภูมิภาค พบว่า ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น 4 ภาค ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 54.9 กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 52.2 ภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 51.0 และภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 50.6 โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลให้มีความเชื่อมั่นคือ เศรษฐกิจไทย สังคม/ความมั่นคง มาตรการของภาครัฐ และเศรษฐกิจโลก ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของภาคเหนือปรับขึ้นจากเดือนก่อนหน้า แต่อยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่นเล็กน้อย ที่ระดับ 49.8

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายอาชีพ จำนวน 7 อาชีพ พบว่า ทั้ง 7 กลุ่มอาชีพมีดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่นทั้งหมด โดยพนักงานของรัฐ อยู่ที่ระดับ 55.8 ผู้ประกอบการ อยู่ที่ระดับ 53.1 นักศึกษา อยู่ที่ระดับ 52.0 เกษตรกร อยู่ที่ระดับ 51.8 พนักงานเอกชน อยู่ที่ระดับ 50.9 ไม่ได้ทำงาน/บำนาญ อยู่ที่ระดับ 50.7 และอาชีพรับจ้างอิสระ อยู่ที่ระดับ 50.4 สำหรับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น โดยอยู่ที่ระดับ 43.9

อย่างไรจาก็ตาม ประชาชนยังคงมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยว่าจะสามารถขยายตัว และมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ อาทิ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพ การส่งเสริมการส่งออก การสนับสนุนสินค้าเกษตร และการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและเพิ่มความเชื่อมั่นต่อการใช้จ่ายของประชาชน ตลอดจนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยล่าสุดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 คาดว่าจะช่วยลดความกังวลต่อปัญหาหนี้ครัวเรือน หนี้สินภาคธุรกิจ และกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้น

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังได้จัดโครงการ “ชูใจ วัยเก๋า 60+” ซึ่งเป็นการสานต่อโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านผู้สูงอายุที่ได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท โดยร่วมมือกับผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และแพลตฟอร์มออนไลน์กว่า 200 ราย ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มบริการ และกลุ่มแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถซื้อสินค้าและบริการได้ในราคาถูกลง ระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 30 เมษายน 2568 ซึ่งการดำเนินโครงการนี้ จะช่วยเหลือ
ลดภาระค่าครองชีพ เพิ่มความเชื่อมั่นในการใช้จ่าย และคาดว่าจะช่วยสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจทั้งในระดับท้องถิ่นและทั่วประเทศ

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img