วันพุธ, มีนาคม 26, 2025
หน้าแรกHighlightเงินบาทอ่อนค่า-เงินดอลลาร์ทยอยแข็ง ดัชนี PMI เดือน มี.ค. สหรัฐฯดีกว่ายุโรป
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เงินบาทอ่อนค่า-เงินดอลลาร์ทยอยแข็ง ดัชนี PMI เดือน มี.ค. สหรัฐฯดีกว่ายุโรป

เงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.98 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น หนุนโดยรายงานข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนมี.ค.ของสหรัฐฯ ดีกว่าข้อมูลจากฝั่งยุโรป

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.98 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.81 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ทดสอบโซนแนวต้านสำคัญ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 33.79-34.00 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น หนุนโดยรายงานข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนมีนาคม ของสหรัฐฯ ที่โดยรวมออกมาดีกว่าข้อมูลดังกล่าวจากฝั่งยุโรป

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ของตลาดการเงินสหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ จากท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจดำเนินนโยบายการค้าที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยภาพดังกล่าวได้หนุนเงินดอลลาร์ ผ่านการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงทะลุโซน 150 เยนต่อดอลลาร์ และนอกเหนือจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ เงินบาทก็ถูกกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงราว -30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ของราคาทองคำ (XAUUSD) ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงแถวโซนแนวต้าน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาด และการรีบาวด์ขึ้นบ้างของราคาทองคำ

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) มากขึ้น หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการค้าที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ลงบ้าง นอกจากนี้ รายงานดัชนี PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม ที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.3 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด สะท้อน ภาวะขยายตัว) ดีกว่าคาด ก็มีส่วนหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.76%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลง -0.13% แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะเริ่มคลายกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ลงบ้าง ทว่าความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็ยังสูงอยู่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ อาทิ Rio Tinto +1.5% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาแร่โลหะ อย่าง ทองแดง และการปรับคำแนะนำลงทุน เป็น “เพิ่มน้ำหนักการลงทุน” ของบรรดานักวิเคราะห์

ในส่วนตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลดัชนี PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟด 3 ครั้ง ในปีนี้ เหลือ 47% ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่โซน 4.34% ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ระยะยาวของสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจอยู่ ตราบใดที่เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้อย่างน้อยตาม Dot Plot ล่าสุด ทำให้เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดสามารถรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาว ในช่วงที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นได้ (เน้นรอ Buy on Dip)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หนุนโดยรายงานดัชนี PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด และภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ซึ่งทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซน 150 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นสู่โซน 104.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.8-104.4 จุด)

ส่วนของราคาทองคำ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่หนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) ปรับตัวลดลง สู่โซน 3,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดยังคงต้องการถือทองคำอยู่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และปัจจัยเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่กลับมาร้อนแรงขึ้นในช่วงนี้

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนีและยูโรโซน ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ โดย IFO (IFO Business Climate) ในเดือนมีนาคม ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า แนวโน้มการเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มงบประมาณด้านการทหารของทั้งเยอรมนี จะช่วยหนุนให้บรรดาผู้เล่นในตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของเยอรมนีมากขึ้น ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจอาจปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 86.8 จุด

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลตลาดบ้านของสหรัฐฯ อาทิ ยอดขายบ้านใหม่ (New Home Sales) เดือนกุมภาพันธ์ พร้อมจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทโมเมนตัมการอ่อนค่าลงของเงินบาท (USDTHB) มีกำลังมากขึ้น สอดคล้องกับการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็เริ่มย่อตัวลงและเสี่ยงเข้าสู่ช่วงการพักฐานในระยะสั้น ทำให้ เราประเมินว่า เงินบาทเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง และควรจับตาอย่างใกล้ชิด ว่า เงินบาทจะสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจนหรือไม่ เพราะการอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าว หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following จะสะท้อนว่า เงินบาทได้กลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง

อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทก็อาจยังไม่ได้อ่อนค่าลงต่อเนื่องชัดเจน หากราคาทองคำสามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้นได้ หรือ อย่างน้อยแกว่งตัว Sideways นอกจากนี้ เงินบาทรวมถึงบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย ก็อาจได้รับอานิสงส์บ้าง จากแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ลดความกังวลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ลงบ้าง ซึ่งอาจสะท้อนผ่านการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยงในฝั่งเอเชีย โดยในฝั่งตลาดทุนไทย ก็อาจเห็นแรงซื้อหุ้นไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติกลับมาได้เช่นกัน

นอกจากนี้ หากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) ที่จะรับรู้ในช่วงราว 16.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจช่วยพยุงเงินยูโร (EUR) ได้บ้าง และอาจพอช่วยชะลออการอ่อนค่าลงของเงินบาท โดยเฉพาะแถวโซนแนวต้าน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราคาดว่า บรรดาผู้เล่นในตลาด อย่าง ฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วงดังกล่าวพอสมควร

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.85-34.05 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img