“พูนพงษ์” เผยตลาดข้าวอินทรีย์โลกปี 2567 มีมูลค่า 2.63 แสนล้านบาท โดยปี 2577 มีมูลค่าสูงถึง 4.05 แสนล้านบาท แนะผู้ส่งออกสร้างแบรนด์ขยายตลาดต่างประเทศ-การแข่งขันน้อยเมื่อเทียบกับการส่งออกข้าวทั่วไป
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลาดข้าวอินทรีย์โลกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในทวีปยุโรปและอเมริกา ซึ่งมีความต้องการข้าวที่ปลอดภัยจากสารเคมีและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องข้าวอินทรีย์ไทยจึงมีโอกาสเจาะตลาดเหล่านี้ได้มากขึ้น หากได้รับการพัฒนาและส่งเสริมอย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
ปัจจุบันเกษตรอินทรีย์ทั่วโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลของสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (IFOAM) และ Research Institute of Organic Agriculture รายงานว่า พื้นที่เกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองทั่วโลกมี 96.4 ล้านเฮกตาร์ (602.5 ล้านไร่) ประเทศที่มีพื้นที่เกษตรอินทรีย์มากที่สุด คือ ออสเตรเลีย (53.0 ล้านเฮกตาร์ (331.3 ล้านไร่) คิดเป็น 55.0% ของพื้นที่เกษตรอินทรีย์ทั่วโลก) รองลงมา คือ อินเดีย และ
อาร์เจนตินา ส่วนตลาดอาหารและเครื่องดื่มอินทรีย์โลกมีมูลค่า 140.73 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดใหญ่ที่สุด ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และจีน มีมูลค่าตลาดอาหารและเครื่องดื่มอินทรีย์ เท่ากับ 61.1, 47.0 และ 12.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ
สำหรับไทยมีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ 241,497 เฮกตาร์ (1.51 ล้านไร่) อยู่อันดับที่ 33 ของโลก และเป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย สินค้าสำคัญ คือ ข้าว ผัก และผลไม้อินทรีย์ ตลาดส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่สำคัญของไทย คือ สหรัฐฯ จีน อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ทั้งนี้ ภาพรวมการค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์ไทยยังมีขนาดเล็ก ส่วนใหญ่ยังอยู่ในรูปแบบการซื้อขายโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค และวางจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตในเขตเมืองเท่านั้น
เมื่อพิจารณาเฉพาะสินค้าข้าวอินทรีย์ ตลาดข้าวอินทรีย์โลกปี 2567 มีมูลค่า 7,800 ล้านเหรียญสหรัฐ (263,320 ล้านบาท) เติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าปี 2577 จะมีมูลค่าสูงถึง 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (405,108 ล้านบาท) สำหรับไทยมีการส่งออกกลุ่มข้าวอินทรีย์ในปี 2567 ปริมาณรวม 22,378 ตัน มูลค่า 31.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,095 ล้านบาท) ขยายตัว 32.0% เมื่อเทียบกับปี 2566 แบ่งเป็นข้าวหอมมะลิอินทรีย์ (สัดส่วน 72.1%)
ข้าวกล้องอินทรีย์ (23.1%) ข้าวขาวอินทรีย์ (3.3%) และปลายข้าวอินทรีย์ (1.5%) สำหรับตลาดส่งออกข้าวอินทรีย์สำคัญของไทย ได้แก่ สหรัฐฯ (สัดส่วน 47.4%) อิตาลี (12.8%) สวิตเซอร์แลนด์ (6.1%) เนเธอร์แลนด์ (5.3%) และฝรั่งเศส (5.3%) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสินค้าคุณภาพสูงและมีมาตรฐานความยั่งยืน
ข้าวอินทรีย์ถือเป็นสินค้าเกษตรสำคัญของไทยซึ่งกำลังถูกพัฒนาและส่งเสริมทั้งด้านการผลิตและการค้าเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใสใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ควรมุ่งส่งเสริมด้านการสร้างแบรนด์ข้าวอินทรีย์ของไทยให้มีเรื่องราว (Brand Story) ชูเอกลักษณ์ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ สร้างความแตกต่างจากประเทศคู่แข่ง และให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้เกิดความต้องการบริโภคข้าวไทยในวงกว้าง รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานการผลิตข้าวอินทรีย์ของไทยให้กับผู้บริโภคทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีมาตรฐาน “Organic Thailand” ที่เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ รวมถึงหลายพื้นที่ปลูกยังได้รับการรับรองมาตรฐานสากล อาทิ IFOAM, USDA Organic, EU Organic และ JAS Organic เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถส่งออกสินค้าไปยังตลาดสำคัญได้
อย่างไรก็ตาม เป็นโอกาสสำคัญของเกษตรกรและผู้ประกอบการข้าวไทยที่จะปรับเปลี่ยนมาผลิตข้าวอินทรีย์ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลก เนื่องจากมีการแข่งขันน้อยเมื่อเทียบกับการส่งออกข้าวทั่วไป อีกทั้งตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมสินค้ารักโลก ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งยังช่วยสร้างความหลากหลาย และขยายตลาดใหม่ให้กับสินค้าเกษตรของไทยอีกด้วย