วันพุธ, พฤษภาคม 14, 2025
หน้าแรกHighlightเงินบาทเปิดตลาด“อ่อนค่าลงเล็กน้อย" จับตาถ้อยแถลง“จนท.เฟด-BOE-ECB”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เงินบาทเปิดตลาด“อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จับตาถ้อยแถลง“จนท.เฟด-BOE-ECB”

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 33.23 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” เงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาต่ำกว่าคาด จับตาถ้อยแถลงเจ้าหน้าที่เฟด-BOE-ECB ส่งสัญญาณดอกเบี้ย

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.23 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 33.20 บาทต่อดอลลาร์โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.19-33.38 บาทต่อดอล ลาร์) แม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลงบ้าง หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนเมษายนล่าสุด ออกมา +2.3% ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย (อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI +2.8% ตามคาด)

โดยผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯยังมีความเสี่ยงที่จะทยอยสูงขึ้นได้ จากผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยสะท้อนออกมาในรายงานอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯที่หนุนการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 4.50% อีกครั้ง

ทั้งนี้เงินบาทยังเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม ทิศทางราคาทองคำ ซึ่งมีทั้งจังหวะย่อตัวลง ก่อนที่จะได้แรงหนุนจากโฟลว์ซื้อ Buy on Dip จากผู้เล่นในตลาดบางส่วน (ซึ่งอาจรวมถึงฝั่งผู้เล่นที่ต้องการ take profits สถานะ Short ทองคำ) ทำให้ราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้นมากบ้าง และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา (แต่โดยรวม เราคงมองว่า ราคาทองคำจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เงินบาทเผชิญความผันผวน Two-Way Volatility ขึ้นกับทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ โดยมี Beta ราว 0.3-0.5%)

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดยังคงมีความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า ส่งผลให้บรรดาหุ้นเทคฯใหญ่ต่างปรับตัวสูงขึ้น นำโดย Nvidia +5.6%, Tesla +4.9% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +1.61% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.72%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อ +0.12% แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะได้อานิสงส์จากความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับบรรดาประเทศคู่ค้า รวมถึงรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี และยูโรโซน (ZEW Survey) ล่าสุด ที่ออกมาดีกว่าคาด ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาผสมผสาน ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นชัดเจน

ในส่วนตลาดบอนด์ บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน (Risk-On) กอปรกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด (ล่าสุดมองว่า เฟดมีโอกาสราว 10% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้) ได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่โซน 4.50% โดยเราคงคำแนะนำเดิมว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯจะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวได้ (เน้น Buy on Dip) โดยเฉพาะในช่วงโซนสูงกว่า 4.30%

ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลงบ้าง หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย กอปรกับผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เลือกที่จะทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 101 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 100.9-101.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.2025) ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากทั้งการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ และแรงซื้อ Buy on Dip ทองคำ ของผู้เล่นในตลาด หนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นบ้างและยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,249 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้งในปีนี้ ส่วน BOE และ ECB อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกราว -50bps หรือ 2 ครั้ง

และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงพัฒนาการของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดสต็อกน้ำมันคงคลังโดย EIA ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบ WTI ในระยะสั้นได้

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเราประเมินว่า ในช่วงนี้ เงินบาทอาจยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านสำคัญ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าว อีกทั้งผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ก็อาจจะต้องการทยอยขายทำกำไรในโซนดังกล่าวบ้าง แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้จริง เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าต่อไปยังโซน 33.75-33.85 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยากนัก หากผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่า) ทยอยปิดสถานะ Cut Losses

ทั้งนี้ แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ รวมถึงแรงขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะฝั่งบอนด์ ส่วนแรงขายหุ้นไทยช่วงนี้ ถือว่าเหนือความคาดหมายของเรา ที่ประเมินว่า ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดอาจช่วยหนุนให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยซื้อหุ้นไทยได้ อย่างไรก็ดี เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Volatility จากทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ที่แม้จะอยู่ในช่วงการพักฐาน Correction แต่ก็สามารถมีทั้งจังหวะย่อตัวลง สลับกับการรีบาวด์สูงขึ้น ทำให้โฟลว์ธุรกรรมซื้อ-ขายทองคำ ส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้เช่นกัน

โดยรวมเรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดแถวโซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้ชัดเจน อาจทำให้เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านถัดไปแถว 33.75-33.85 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก ขณะที่โซนแนวรับสำคัญอาจขยับขึ้นมาแถว 33.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีแนวรับถัดไปในช่วง 32.75-32.85 บาทต่อดอลลาร์ ตามเดิม

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือสกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.15-33.40 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img