วันพุธ, พฤษภาคม 21, 2025
หน้าแรกHighlight“ธปท.”สั่งแบงก์ทำผลทดสอบภาวะวิกฤติ รับมือ“สงครามทางการค้า”นโยบายทรัมป์
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ธปท.”สั่งแบงก์ทำผลทดสอบภาวะวิกฤติ รับมือ“สงครามทางการค้า”นโยบายทรัมป์

“ธปท.” เตรียมรับมือสงครามทางการค้า สั่งให้สถาบันการเงินทำผลทดสอบภาวะวิกฤติ เผยสินเชื่อแบงก์พาณิชย์ทั้งระบบ ไตรมาส 1/68 หดตัว 1.3% ตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่เอ็นพีแอลอยู่ที่ 2.9%

นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ให้ธนาคารพาณิชย์ทำผลทดสอบภาวะวิกฤติ จากผลกระทบสงครามการค้า นโยบายการขึ้นภาษีของทรัมป์ เพราะสถาบันการเงินบางแห่งมีลูกค้าที่ส่งออกค่อนข้างมาก ดังนั้นผลกระทบเหล่านี้อาจกระทบต่อลูกค้าของธนาคาร จึงให้แบงก์ใหญ่ๆประเมินผลกระทบซึ่งคาดว่าจะทยอยส่งมาให้ธปท.รับทราบได้ในเร็ว ๆ นี้

ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลัง อยากให้ทางธนาคารพาณิชย์มีการลดกำไรมาช่วยเหลือลูกหนี้นั้น โครงการคุณสู้เราช่วยก็ถือเป็นมาตรการที่กระทบต่อกำไรของธนาคารอยู่แล้ว จากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง และต้องชดเชยรายได้ส่วนหนึ่งในโครงการด้วย โดยช่วงที่ผ่านมา ธปท.มีการเข้มงวดมาก ในการให้แบงก์เข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้ตามมาตรการ ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ หรือโครงการคุณสู้เราช่วย ที่ธปท.มีการติดตามใกล้ชิดว่าแบงก์ได้มีการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ตามหลักเกณฑ์ที่เรากำหนดหรือไม่

ซึ่งหากดู อัตรากำไรสุทธิจากดอกเบี้ย หรือ NIM นั้น ในภาพใหญ่ของระบบแบงก์ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยลดลงจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งหากเทียบกับประเทศในภูมิภาคพบว่า NIM โดยรวมของระบบธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 2.8% หากเทียบกับอินโดนีเซียที่สูงกว่าเราที่ 4.6 % หรือฟิลิปปินส์ ปัจจุบันอยู่ที่ 4 % เวียดนาม3.3% ซึ่งที่ต่ำกว่าไทยคือสิงคโปร์ที่อยู่ 2% ดังนั้นของไทยก็ถือว่าอยู่ระดับกลาง ๆ ของภูมิภาค

ส่วนภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ไตรมาส 1 ปี 2568 ว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง โดยภาพรวมสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 1 ปี 2568 หดตัว 1.3% จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยหลักจากการชำระคืนหนี้ที่อยู่ในระดับสูง สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ยังขยายตัว ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคหดตัวต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง

“หากเราดูโฟลว์ของการปล่อยสินเชื่อใหม่ และการชำระหนี้คืน จะพบว่าในไตรมาสที่ 1/68 เทียบกับไตรมาสที่ 4/67 มียอดการปล่อยสินเชื่อใหม่อยู่ที่ 4.4 ล้านล้านบาท แต่มีการชำระหนี้คืนราว 4.39 ล้านล้านบาท โดยเป็นการชำระหนี้คืนของธุรกิจรายใหญ่ ทำให้โฟลว์ไม่สูง มองไปข้างหน้า สินเชื่อก็ยังมีความท้าทาย” นางสาวสุวรรณี ระบุ

ขณะเดียวกัน การส่งผ่านการปรับอัตราดอกของธนาคารพาณิชย์ ตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นั้น มองว่าการลดดอกเบี้ยไม่ได้เป็นการช่วยให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพราะปัจจัยหลักมาจากต้นทุนความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อ (Credit Risk) ในการพิจารณาสินเชื่อ แต่การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยลูกค้ามากกว่า

อย่างไรก็ดี การส่งผ่านรอบนี้ ถือว่าน้อยกว่าการปรับลดดอกเบี้ยใน 2 รอบก่อนหน้า แต่ก็นับว่าส่งผ่านมากกว่าในปี 2563-2564 ในช่วงโควิด-19 และจะเห็นว่าธนาคารพาณิชย์ไม่ได้ปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ในครั้งนี้ด้วย

ส่วนยอดคงค้างสินเชื่อ NPL ไตรมาส 1 ปี 2568 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 548.1 พันล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.90% โดยหลักจากสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ สัดส่วน NPL ของสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อเช่าซื้อที่เพิ่มขึ้น เป็นผลของฐานสินเชื่อที่ลดลง สำหรับสินเชื่อ Stage 2 ปรับลดลง โดยหลักจากการชำระคืนหนี้ของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ส่งผลให้สัดส่วน stage 2 ทรงตัวอยู่ที่ 6.97% อย่างไรก็ดี ธนาคารพาณิชย์ยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริหารจัดการคุณภาพหนี้

สำหรับผลการดำเนินงานปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยหลักจากค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ลดลง (ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูง ซึ่งเป็นปัจจัยฤดูกาลในไตรมาสก่อน และค่าใช้จ่ายด้าน IT) และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (เงินลงทุนและการวัดมูลค่าตราสารทางการเงิน) ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับลดลงตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

“ยังต้องติดตามภาวะการเงินที่ยังตึงตัว และความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจ และครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่รายได้ฟื้นตัวช้า และมีภาระหนี้สูง รวมถึงธุรกิจและครัวเรือน ที่อาจได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมต่อฐานะการเงิน จากผลกระทบของนโยบายการค้าโลก ตลอดจนติดตามผลสำเร็จของการให้ความช่วยเหลือ ภายใต้โครงการคุณสู้เราช่วย”นางสาวสุวรรณี กล่าว

โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาส 4 ปี 2567 ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน จากสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ขยายตัวชะลอลง ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ลดลงตามการกู้ยืมผ่านตลาดตราสารหนี้เป็นสำคัญ ด้านความสามารถในการทำกำไรโดยรวม ทรงตัวจากระยะเดียวกันปีก่อน แต่ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า แม้ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว และภาคการผลิต แต่ภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์เผชิญแรงกดดันจากกำลังซื้อที่อยู่อาศัยที่ชะลอลง

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img