วันศุกร์, พฤษภาคม 30, 2025
หน้าแรกHighlight“เงินบาทพลิกอ่อนค่า”หลัง“ดอลลาร์แข็ง”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“เงินบาทพลิกอ่อนค่า”หลัง“ดอลลาร์แข็ง”

เงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.81 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” หลังดอลลาร์รีบาวด์ แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่นใกล้โซน 146 เยนต่อดอลลาร์-ขณะที่บอนด์ยีลด์ดีดปรับตัวขึ้น

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.81 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.60 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.60-32.85 บาทต่อดอลลาร์) ท่ามกลางแรงกดดันจากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งได้แรงหนุนบ้างจากแนวโน้มเฟดไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ที่สะท้อนผ่านรายงานผลการประชุม FOMC ล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 74% ที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับลดสถานะ Short USD ของผู้เล่นในตลาดลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์เริ่มทยอยรีบาวด์สูงขึ้น นอกจากนี้ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุด อ่อนค่าเข้าใกล้โซน 146 เยนต่อดอลลาร์

ทั้งนี้ การทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯได้ยิ่งกดดันให้ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวลดลงสู่โซนแนวรับแถว 3,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งการปรับตัวลดลงของราคาทองคำดังกล่าวก็ยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.85 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงเช้านี้

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น เพื่อรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทเทคฯ ใหญ่ โดยเฉพาะ Nvidia ในช่วง After Close ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯได้กดดันให้บรรดาหุ้นเทคฯใหญ่ และหุ้นสไตล์ Growth ย่อตัวลงบ้าง หลังปรับตัวขึ้นแรงในวันก่อน ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.56%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อตัวลงบ้าง -0.61% โดยผู้เล่นในตลาดต่างทยอยขายทำกำไรหุ้นยุโรปออกมาบ้าง เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ทว่า ตลาดหุ้นยุโรป ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหาร อาทิ Thales +2.1%, BAE System +0.6% ท่ามกลางสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงร้อนแรงอยู่

ในส่วนตลาดบอนด์ แนวโน้มเฟดไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและรายงานการประชุม FOMC ล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) ยังคงทำให้ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดอาจมีโอกาสราว 74% ที่จะลดดอกเบี้ยในปีนี้ และเฟดอาจเลื่อนไปลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปี 2026 โดยภาพดังกล่าว กอปรกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงนี้ที่ส่วนใหญ่ออกมาสดใส ก็หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯทยอยปรับตัวสูงขึ้นบ้าง สู่ระดับ 4.50% ทั้งนี้เราคงย้ำมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ก็จะเปิดโอกาสในการทยอยเข้าซื้อสะสม (Buy on Dip) ได้ โดยเฉพาะโซนสูงกว่าระดับ 4.50%

ทางด้านตลาดค่าเงินนั้นพบว่า เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น หนุนโดยท่าทีไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ ในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่เข้าใกล้โซน 146 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 100.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.4-100.4 จุด)

ส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ทว่า การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯก็กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนส.ค.2025) ทยอยปรับตัวลดลงสู่โซนแนวรับแถว 3,280 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งช่วยชะลอการปรับตัวลงของราคาทองคำ

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ รวมถึงรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และข้อมูลตลาดบ้าน พร้อมทั้งรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่น ที่อาจสะท้อนถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Productions) และยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนพฤษภาคม โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า BOJ มีโอกาสราว 80% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้

ทั้งนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดสต็อกน้ำมันคงคลังของสหรัฐฯ โดย EIA ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้ พร้อมทั้งรอติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับบรรดาประเทศคู่ค้า

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท มีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง ในลักษณะ Sideways Up หลังเงินดอลลาร์เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น ทว่า เงินดอลลาร์จะสามารถคงโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้หรือไม่นั้น จำเป็นจะต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาสดใสและโดดเด่นกว่าบรรดาประเทศอื่นๆ ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 2.0 ก็ควรทยอยลดลง เพื่อทำให้ธีม Sell US Assets ค่อยๆ ลดลงไปในช่วงนี้

อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ เนื่องจากฤดูกาลจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติใกล้จบแล้ว นอกจากนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า ราคาทองคำยังถือเป็นปัจจัยเสี่ยง Two-Way risk ที่อาจทำให้เงินบาทสามารถเคลื่อนไหวแข็งค่า หรืออ่อนค่าลงได้ ตามทิศทางราคาทองคำ แม้ว่าการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ (XAUUSD) ยังมีอีกบ้าง จนกว่าจะถึงโซนแนวรับสำคัญแถว 3,225-3,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเพิ่มเติม ทดสอบโซนแนวต้านถัดไป 33.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก แต่ทว่า หากราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้น เช่นในช่วงก่อนหน้า ก็อาจชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท หรือช่วยหนุนให้เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้

อนึ่ง เราจะมั่นใจมากขึ้นว่า เงินบาทจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์ได้อย่างชัดเจน เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following พร้อมกันนี้ เราขอเน้นย้ำว่า พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของเงินบาทในช่วงนี้ ได้สะท้อนว่า ตลาดค่าเงินยังอยู่ในภาวะผันผวนสูง ทำให้เรายังคงแนะนำผู้เล่นในตลาดว่า ควรใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.65-32.95 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img