ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.61 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” ติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของไทย-ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ทั้งยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมและอัตราการว่างงาน
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.61 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.49 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในกรอบ 32.48-32.69 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าโดยรวมเงินดอลลาร์จะไม่ได้แข็งค่าขึ้นชัดเจน หลังรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ออกมาผสมผสาน
โดยยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 247,000 ราย (แย่กว่าคาดเล็กน้อย) ขณะที่ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 1.904 ล้านราย (ดีกว่าคาดเล็กน้อย) ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ก็ถูกกดดันบ้าง ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัดสินใจลดดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) 25bps สู่ระดับ 2.00% ตามคาด
ซึ่งในช่วง Press Conference ประธาน ECB ได้ส่งสัญญาณสะท้อนว่า ECB ยังไม่จำเป็นต้องเร่งรีบลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม และสามารถรอประเมินสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ โดยมุมมองดังกล่าว ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ ECB
อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ตามส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ที่กว้างขึ้น ทั้งนี้ การอ่อนค่าลงของเงินบาทนั้น ดูจะถูกขับเคลื่อนด้วยการปรับตัวลดลงของราคาทองคำพอสมควร โดยในช่วงคืนที่ผ่านมา ราคาทองคำเผชิญแรงขายทำกำไรต่อเนื่อง หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้าน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกทั้งยังถูกกดดันเพิ่มเติม ตามจังหวะการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง เพื่อรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ และการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ทว่า บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันจากการปรับตัวลงหนักของราคาหุ้น Tesla -14.3% ท่ามกลางความกังวลประเด็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่าง Elon Musk กับประธานาธิบดี Donald Trump ในช่วงนี้ ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.53%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.16% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคาร ท่ามกลางความหวังว่า ECB อาจยังไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม หลังได้ลดดอกเบี้ยตามคาดในการประชุมเดือนมิถุนายน อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรป ก็ถูกกดดันบ้าง ตามการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
ในส่วนตลาดบอนด์ ความกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯ หลังต้นทุนแรงงานต่อหน่วย (Unit Labor Cost) ของสหรัฐฯ ในไตรมาสแรกของปี 2025 เพิ่มสูงขึ้นกว่า +6.6% สูงกว่าที่ตลาดคาดพอสมควร กอปรกับความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รีบาวด์สูงขึ้น สู่ระดับ 4.39% อนึ่ง เรายังคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ อีกครั้ง หรือในจังหวะที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มออกมาสดใส ทำให้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจชะลอการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ได้ เพื่อรอจังหวะเข้าซื้อ หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะโซนแถวระดับ 4.50% หรือสูงกว่า
ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down หลังเงินยูโร (EUR) แข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยของ ECB ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่น เพิ่มสูงขึ้น ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่ระดับ 98.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.3-98.8 จุด)
ส่วนของราคาทองคำ แรงขายทำกำไรทองคำของผู้เล่นตลาด รวมถึงจังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากโซนแนวต้านระยะสั้น สู่ระดับ 3,387 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้สำเร็จ
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญ จะอยู่ที่ รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ทั้ง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) ในเดือนพฤษภาคม
ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของไทย ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งมีแนวโน้มจะยังคงติดลบและต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย 1%-3% ของธนาคารแห่งประเทศไทยต่อเนื่อง ตามฐานของราคาสินค้าและบริการของปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงการปรับตัวลดลงของราคาพลังงานโลก
และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways 32.40-32.70 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงระหว่างวัน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยในช่วงระหว่างวัน ควรจับตาการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ซึ่งยังคงเป็น Two-Way risk สำหรับเงินบาท (เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นบ้าง หากราคาทองคำทยอยรีบาวด์สูงขึ้น กลับกัน หากราคาทองคำปรับตัวลงต่อ ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง)
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ โดยสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาท (USDTHB) เสี่ยงเคลื่อนไหว +0.6%/-0.3% (+/-1SD) ในช่วงหลังตลาดรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ 30 นาที
โดยเรามองว่า หากยอดการจ้างงานฯ ออกมาตามคาด หรือดีกว่าคาด สวนทางกับ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ที่ออกมาก่อนหน้า ก็จะพอช่วยให้ ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มตลาดแรงงานและการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ บ้าง หนุนให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้นได้ ตามการปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟด
ซึ่งในทางกลับกัน หากยอดการจ้างงานฯ ออกมาสอดคล้องกับตัวเลขจากทาง ADP กล่าวคือ ยอดการจ้างงานฯ เพิ่มขึ้น “หลักหมื่น” ตำแหน่ง แย่กว่าที่ตลาดประเมินไว้มาก ก็จะยิ่งสร้างความกังวลแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ต่อผู้เล่นในตลาด ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจปรับเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ (ล่าสุด ผู้เล่นในตลาด ให้โอกาสราว 16%) ส่งผลให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงอีกครั้งได้ และอาจหนุนให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้านอีกครั้ง ซึ่งในกรณีนี้ เงินบาทก็เสี่ยงแข็งค่าขึ้นทดสอบหรือหลุดโซนแนวรับ 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.80 บาทต่อดอลลาร์