วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 12, 2025
หน้าแรกHighlight‘บาทแข็งค่าขึ้น’สอดรับสกุลเงินฝั่งเอเชีย ลุ้นผลเจรจาการค้าระหว่างอเมริกากับจีน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘บาทแข็งค่าขึ้น’สอดรับสกุลเงินฝั่งเอเชีย ลุ้นผลเจรจาการค้าระหว่างอเมริกากับจีน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” สอดรับกับบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย ตอบรับความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.65 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทาง ในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.57-32.69 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าเงินบาทจะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ จากความหวังว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น หลังทั้งสองฝ่ายต่างเห็นชอบในกรอบการเจรจา (Framework) ที่จะลดความตึงเครียดทางการค้าลง ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง กดดันให้ราคาทองคำ (XAUUSD) ย่อตัวลงสู่โซนแนวรับระยะสั้นด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้าวันนี้ของตลาดการเงินฝั่งเอเชีย เงินบาทได้พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย ตอบรับความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน อีกทั้งราคาทองคำก็รีบาวด์สูงขึ้น

โดยความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ได้ช่วยหนุนให้บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง แม้ว่าผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบเพิ่มการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงมากนัก เพื่อรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ทว่าโดยรวม ดัชนี S&P500 ก็ทยอยปรับตัวขึ้น ปิดตลาด +0.55%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.02% แม้ตลาดหุ้นยุโรปจะเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะ UBS -4.8% จากความกังวลว่า ทางธนาคารอาจจำเป็นต้องเพิ่มทุนสำรอง ตามข้อเสนอของรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell +3.1% ตามการทยอยปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ และการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare นำโดย Novo Nordisk +6.0%

ในส่วนตลาดบอนด์ ความหวังต่อการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเข้าใกล้ระดับ 4.50% อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ แม้ว่าในช่วงนี้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯจะเคลื่อนไหวไร้ทิศทาง ในลักษณะ Sideways แต่เรายังคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯอาจมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้นบ้าง โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯอีกครั้ง หรือในจังหวะที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มออกมาสดใส ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะเข้าซื้อ หากบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะโซนแถวระดับ 4.50% หรือสูงกว่า

ทางด้านตลาดค่าเงินนั้นพบว่า เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะได้รับแรงหนุนบ้างจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ แต่การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ และความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 99.0 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.8-99.1 จุด)

ส่วนของราคาทองคำ ความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับระยะสั้น ทว่า ราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนจากการเข้าซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน หนุนให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้สำเร็จ

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯในเดือนพฤษภาคม ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะใช้ประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมา โดยบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างมองว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯอาจสูงขึ้น สู่ระดับ 2.5% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงานอาจสูงขึ้นเล็กน้อย สู่ระดับ 2.9% ซึ่งอาจชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯเริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น จากผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเฉพาะประธาน ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของ ECB โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 1 ครั้ง 25bps ในปีนี้ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน และรอลุ้นรายงานยอดสต็อกน้ำมันคงคลังของสหรัฐฯซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยเรามองว่า หากอ้างอิงจากสถิติย้อนหลัง 1 ปี ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) อาจเคลื่อนไหวในระดับ +/-1 SD ราว +0.2%/-0.4% ชี้ว่า เงินบาทเสี่ยงแข็งค่าขึ้นได้พอสมควร หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาต่ำกว่าคาด ซึ่งภาพดังกล่าวก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ได้ (ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 74% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้งในปีนี้) ในทางกลับกัน หากอัตราเงินเฟ้อ CPI เพิ่มสูงขึ้น และออกมาสูงกว่าคาดชัดเจน ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า เฟดจะยิ่งไม่รีบลดดอกเบี้ย ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดโอกาสการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งของเฟดในปีนี้ลง โดยภาพดังกล่าวอาจช่วยหนุนการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯได้

นอกจากนี้ ความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อาจช่วยหนุนบรรยากาศในฝั่งตลาดการเงินเอเชีย ซึ่งอาจช่วยให้บรรดาสกุลเงินเอเชียทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ทว่า ความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าดังกล่าวก็ยังคงมีอยู่ ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรเตรียมรับมือกับความผันผวนของบรรดาสกุลเงินเอเชีย หากผลการเจรจาการค้าไม่ได้เป็นไปตามที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ และแม้ว่าบรรดาสกุลเงินเอเชีย อาจได้แรงหนุนจากความหวังการเจรจาการค้าดังกล่าว แต่หากราคาทองคำปรับตัวลดลง หลุดโซนแนวรับระยะสั้น จากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่างเงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.45-32.75 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img