วันจันทร์, มิถุนายน 16, 2025
หน้าแรกHighlightเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้“อ่อนค่าเล็กน้อย” จับตาผลประชุมเฟด-ปมขัดแย้งตอ.กลาง
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้“อ่อนค่าเล็กน้อย” จับตาผลประชุมเฟด-ปมขัดแย้งตอ.กลาง

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย ”หลังดอลลาร์แข็งค่าลุ้น ผลการประชุม FOMC ของเฟด พร้อมติดตาม สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย ”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.37-32.51 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่พอได้แรงหนุนจากความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) บ้าง ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว แม้ว่าจะช่วยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้โดยรวมเงินบาทก็เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ ขณะที่การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำยังพอช่วยลดทอนแรงกดดันดังกล่าวได้บ้าง จนกว่าความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับเงินบาทจะเปลี่ยนแปลงไป หากผู้เล่นในตลาดเริ่มไล่ราคาซื้อทองคำ หรือเป็นแรงซื้อลักษณะ Fear of Missing Out (FOMO)

สัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น ผลการประชุม FOMC ของเฟด (จับตา Dot Plot ใหม่) พร้อมติดตาม สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุม FOMC ของเฟด เดือนมิถุนายน ที่จะรับรู้ในช่วงราว 01.00 น. เช้าวันที่ 19 มิถุนายน นี้ ตามเวลาประเทศไทย โดยเรามองว่า FOMC จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ตามเดิม จนกว่าจะมั่นใจในแนวโน้มเงินเฟ้อ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของทั้งนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้ เราขอแนะนำว่า ควรจับตาการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) อย่างใกล้ชิด เนื่องจากล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า FOMC อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และอีกราว 2-3 ครั้ง ในปีหน้า ซึ่งดูใกล้เคียงกับ Dot Plot เดือนมีนาคม ทำให้ หาก Dot Plot ใหม่ มีการเปลี่ยนแปลง เช่น บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่มองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง ก็อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้พอสมควร นอกเหนือจากประเด็นในข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า และปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง การโจมตีระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่จะยิ่งทวีความร้อนแรงของปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤษภาคม และดัชนีภาคการผลิตโดยเฟด สาขานิวยอร์ก (Empire Manufacturing Index)

▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยเรามองว่า BOE อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25% ก่อนที่จะกลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน (ผู้เล่นในตลาดให้โอกาส 82% ที่ BOE จะกลับมาลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนสิงหาคม) ซึ่งมุมมองของเราและบรรดาผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยของ BOE อาจปรับเปลี่ยนไปได้ ตามรายงาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดค้าปลีก ในเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า ECB มีโอกาสราว 96% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในปีนี้

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาทิ ยอดค้าปลีกและยอดผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนพฤษภาคม ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเราประเมินว่า BOJ อาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.50% จนกว่าความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะลดลง เพื่อให้ BOJ สามารถประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น และยอดการค้า (Exports & Imports) ในเดือนพฤษภาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของ BOJ นอกเหนือจากผลการประชุม BOJ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุมของธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) และธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า BI และ CBC อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% และ 2.00% ตามลำดับ ขณะที่ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 5.25%

▪ ไทย – เราประเมินว่า ยอดการส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม อาจยังสามารถขยายตัวได้ดี ตามอานิสงส์ของการเร่งนำเข้าสินค้าจากบรรดาประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจดำเนินไปจนเข้าใกล้ช่วงครบกำหนดการชะลอเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้ ยอดการนำเข้าก็อาจยังขยายตัวได้ในอัตราที่สูงอยู่ ทำให้โดยรวมดุลการค้าของไทยอาจยังคงขาดดุลต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ขาดดุลราว -3.3 พันล้านดอลลาร์

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นจะยังมีกำลังอยู่ หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ขณะเดียวกัน เงินบาทก็ได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทว่า เราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด และมีโอกาสที่เงินบาทเสี่ยงพลิกกลับมาอ่อนค่าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ แบบ Sideways Up โดยหากเฟดปรับคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ใหม่ ที่สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยลงจากที่เคยประเมินไว้ ก็อาจหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หากลุมลาม บานปลายมากขึ้น อาจต้องจับตาผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานสุทธิ ทำให้การปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานโลกอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ นอกจากนี้ เราย้ำมุมมองเดิมว่า ราคาทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทมาก ทำให้ต้องจับตาว่า ความสัมพันธ์ของเงินบาทกับราคาทองคำจะเปลี่ยนไปหรือไม่ เพราะหากความสัมพันธ์ยังคงเป็นเชิงบวก ในกรณีที่ ตลาดคลายกังวลความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ราคาทองคำก็เสี่ยงย่อตัวลงพอสมควร กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง แต่หากความสัมพันธ์เปลี่ยนไป ซึ่งเราคาดว่าอาจจะเปลี่ยนได้ ในกรณีที่ สถานการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ทวีความรุนแรงมากขึ้นและลุกลาม บานปลาย ซึ่งอาจส่งผลให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้น “เร็ว แรง” ในระยะสั้น โดยภาพดังกล่าว อาจเร่งให้ผู้เล่นในตลาดไล่ราคาซื้อทองคำ (FOMO Buying) ทำให้ยิ่งราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาด และเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ นอกจากนี้ ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรงในช่วงนี้อาจช่วยหนุนเงินดอลลาร์บ้าง

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-33.00 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.60 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img