วันอังคาร, มิถุนายน 17, 2025
หน้าแรกHighlight“ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ”แย่กว่าที่คาด ส่งผลเงินบาทเปิดตลาดแข็งค่าเล็กน้อย
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ”แย่กว่าที่คาด ส่งผลเงินบาทเปิดตลาดแข็งค่าเล็กน้อย

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.45 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” หลังดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯแย่กว่าที่ตลาดคาดไว้มาก ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดค้าปลีกในคืนนี้

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.45 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.49 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.39-32.50 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังดัชนีภาคการผลิตโดย NY Fed (Empire Manufacturing Index) เดือนมิถุนายน ลดลงสู่ระดับ -16 จุด แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้มาก

โดยเงินบาทก็ทยอยพลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้างเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างมีความหวังว่า ทั้งสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลอาจคลี่คลายลงได้ ตามรายงานข่าวว่า เจ้าหน้าที่ของทางการอิหร่านได้ส่งสัญญาณพร้อมเจรจายุติการสู้รบกับอิสราเอลโดยเร็ว ซึ่งภาพดังกล่าวได้กดดันให้ บรรดาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงก่อนหน้า ต่างเผชิญแรงกดดัน โดยราคาทองคำ (XAUUSD) ก็พลิกกลับมาปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 145 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (ทั้งนี้เงินเยนญี่ปุ่นยังไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นในวันนี้) หนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง ท่ามกลางความหวังว่าการสู้รบระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลอาจยุติลงได้ หลังทางการอิหร่านส่งสัญญาณพร้อมเจรจายุติการสู้รบ ทั้งนี้ผู้เล่นในตลาดต่างยังไม่รีบเปิดรับความเสี่ยงเต็มที่ เพื่อรอลุ้นทั้งการเจรจาหยุดยิงระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล และผลการประชุม FOMC ของเฟดในสัปดาห์นี้ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.94%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.36% หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางลงบ้าง อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้างตามการปรับตัวลงของหุ้นบริษัทยารายใหญ่ อย่าง Novo Nordisk -3.5% และ Roche -2.5%

ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะเริ่มทยอยกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น แต่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯที่ออกมาแย่กว่าคาด อีกทั้งท่าทีของผู้เล่นในตลาดที่ต่างรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด (โดยเฉพาะในส่วนของ Dot Plot ใหม่) ก็ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ในโซน 4.40%-4.50% เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯอาจมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นได้บ้างในระยะสั้น หาก Dot Plot ใหม่ของเฟด สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยลงในปีนี้ (และอาจรวมถึงในปีหน้า) จากที่เคยประเมินไว้ และน้อยกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ ทำให้เราคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ในช่วงบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในโซน >= 4.50%

ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลง จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด แต่เงินดอลลาร์ก็สามารถรีบาวด์แข็งค่าขึ้น ตามการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล และเริ่มทยอยขายสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.6-98.3 จุด)

ส่วนของราคาทองคำ ความหวังของผู้เล่นในตลาดที่มองว่า สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจทยอยคลี่คลายลงได้ หลังทางการอิหร่านส่งสัญญาณพร้อมเจรจายุติการสู้รบกับอิสราเอล รวมถึงแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.2025) พลิกกลับมาปรับตัวลดลง สู่โซน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่างยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Productions) เดือนพฤษภาคม รวมถึงข้อมูลตลาดบ้าน

ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งเรามองว่า BOJ อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% ก่อน เพื่อรอประเมินความชัดเจนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงรอติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศ ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล นอกจากนี้ ในช่วงราว 6.50 น. ตามเวลาประเทศไทยของเช้าวันที่ 18 มิถุนายนนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) ของญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคม เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี และยูโรโซน โดย ZEW (ZEW Economic Sentiment) ในเดือนมิถุนายน

นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่างจีน รวมถึงสถานการณ์ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง อย่างแนวโน้มการเจรจายุติการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา อาจชะลอลงบ้าง หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางเริ่มมีแนวโน้มคลี่คลายลงได้ ซึ่งอาจกดดันให้บรรดาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงก่อนหน้า ทั้งทองคำและเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อาจย่อตัวลง (อ่อนค่าลง) ได้ไม่ยาก ทำให้เรามองว่า เงินบาท (USDTHB) อาจยังพอมีแนวรับแถวโซน 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์ และการแข็งค่าทะลุโซนดังกล่าวอาจไม่ได้เกิดขึ้นง่ายนัก

ยกเว้นราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้นทดสอบโซนแนวต้านอีกครั้ง (แต่หากปรับตัวขึ้นเร็ว แรงในระยะสั้น ทำ All-Time High ใหม่ต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับเงินบาทอาจเปลี่ยนไป โดยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ อาจยิ่งเร่งการเข้าซื้อทองคำ และกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง) หรือในกรณีที่เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ซึ่งอาจมาจากสามปัจจัยได้ อาทิ 1.เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเร็วและแรงในระยะสั้น หากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยชัดเจน หรือขึ้นดอกเบี้ย เซอร์ไพรส์ตลาด (เรามองว่า โอกาสเกิดต่ำ) 2.รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ยังคงออกมาแย่กว่าคาด และ 3.เฟดส่งสัญญาณอาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ใน Dot Plot ใหม่ ((เรามองว่า โอกาสเกิดต่ำ) และกลับกันมีโอกาสที่ Dot Plot ใหม่จะสะท้อนแนวโน้มการไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยของเฟดได้)

ทั้งนี้แม้เงินบาทอาจชะลอการแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่การเคลื่อนไหวในช่วงระหว่างวันก็อาจยังไร้ทิศทางที่ชัดเจน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลักในสัปดาห์นี้ (BOJ, เฟด และ BOE) รวมถึงรอติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดี เราขอแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างยอดค้าปลีก (Retail Sales) ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย

การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.60 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img