“พรายพล” โพสต์เฟสบุ๊กปิดช่องแคบฮอร์มุซทำให้ไทยขาดแคลนพลังงาน ชี้ไทยนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศประมาณ 85% ของน้ำมันที่ใช้ทั้งหมด และต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติประมาณ 40% ของก๊าซที่ใช้ทั้งหมด
นายพรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟสบุ๊ก Praipol Koomsup แสดงความคิดเห็นถึงช่องแคบฮอร์มุซกับพลังงานไทย ว่า ช่องแคบฮอร์มุซเป็นจุดแคบ ๆ ที่เชื่อมต่ออ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมานและทะเลอาหรับ ขนาบข้างด้วยอิหร่านทางทิศเหนือและคาบสมุทรมูซานดัมของโอมานทางทิศใต้ มีจุดที่แคบ ที่สุดกว้างประมาณ 33-39 กม.
แต่เส้นทางเดินเรือที่กําหนดมีความกว้างเพียงประมาณ 3 กม. ในแต่ละทิศทางคั่นด้วยเขตกันชนเพื่อความปลอดภัย ช่องแคบมีความลึกสุดมากถึง 200 เมตร อยู่ใกล้ฝั่งโอมาน ซึ่งหมายความว่าเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดก็สามารถใช้เส้นทางนี้ได้ด้วย
โดยช่องแคบฮอร์มุซ มีความสําคัญมากในด้านพลังงาน เพราะเป็นช่องทางออกทางทะเลเพียงจุดเดียวจากอ่าวเปอร์เซีย โดยประมาณหนึ่งในห้าของน้ำมันของโลก (ประมาณ 17-18 ล้านบาร์เรลต่อวันของน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมัน) ถูกขนส่งผ่านช่องแคบนี้ ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จํานวนมาก (โดยเฉพาะจากกาตาร์) ก็ส่งผ่านช่องแคบนี้ด้วย เกาะเล็ก ๆ ในบริเวณช่องแคบถูกควบคุมโดยอิหร่าน และอิหร่านก็มีฐานทัพเรือที่สําคัญภายในอ่าวด้วย ทําให้อิหร่านมีอิทธิพลต่อเส้นทางการขนส่งนี้ค่อนข้างมาก
ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ มีกองเรือที่ห้า ซึ่งมีฐานอยู่ในบาห์เรน โดยมีความรับผิดชอบหลักในการคุ้มครองการจราจรทางทะเลในภูมิภาค และเน้นความสําคัญของช่องแคบฮอร์มุซที่มีต่อความมั่นคงทาง เศรษฐกิจของโลก
ความสามารถและกลยุทธ์ของอิหร่านในการคุกคามหรือปิดกั้นช่องแคบ
อิหร่านมักขู่ว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุซเพื่อตอบโต้แรงกดดันจากตะวันตก ตัวอย่างเช่น เคยประกาศว่าหากอิหร่านถูกขัดขวางไม่ให้ส่งออกน้ำมัน “ก็จะไม่ให้มีการส่งออกน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียเลย” เท่าที่ผ่านมาอิหร่านได้ใช้ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์และกองกำลังในน่านน้ำ เพื่อขัดขวางหรือปิดกั้นการเดินเรือในช่องแคบเป็นเวลาสั้นๆ โดยอาวุธยุทโปกรณ์สำคัญที่ใช้ประกอบด้วย
ทุ่นระเบิดในน้ำ เชื่อกันว่าอิหร่านมีทุ่นระเบิดเป็นจำนวนหลายพันลูกที่สามารถวางในเส้นทางเดินเรือของช่องแคบได้อย่างรวดเร็ว และอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือนในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเหล่านี้ได้หมด
จรวดและโดรน อิหร่านได้พัฒนาจรวดและโดรนที่ติดตั้งระเบิดเพื่อคุกคามเรือบรรทุกน้ำมัน หรือเรือรบ ของสหรัฐฯ ในอ่าวเปอร์เซีย นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ในการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันและก๊าซของประเทศ อื่นๆ ในภูมิภาค รวมถึงซาอุดิอาระเบีย ได้อีกด้วย
เรือเร็ว อิหร่านมีกองเรือโจมตีเร็วและเรือสปีดโบ๊ทขนาดต่างๆ ซึ่งมักติดอาวุธด้วยปืนกล จรวดขีปนาวุธ ต่อต้านเรือ หรือแม้แต่วัตถุระเบิดสําหรับการโจมตีแบบพลีชีพ เรือเร็วเหล่านี้เหมาะสำหรับการโจมตีแบบเป็นฝูง ซึ่งอิหร่านเคยใช้ในการบุกเพื่อยึดเรือบรรทุกน้ำมันในช่องแคบนี้มาแล้ว
เรือดําน้ำและกองทัพเรือชายฝั่ง กองทัพเรือของอิหร่านมีเรือดําน้ำจํานวนหนึ่งที่สามารถวางทุ่นระเบิด หรือยิงตอร์ปิโดในน่านน้ำอ่าวตื้นได้ รวมทั้งเรือรบผิวน้ำอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับกองเรือรบของสหรัฐฯ แต่ก็สร้างภัยคุกคามได้ในช่องแคบที่มีพื้นที่จํากัด
ผู้นําของอิหร่านมองว่าความสามารถในการคุกคามฮอร์มุซเป็นเครื่องมือยับยั้งและตอบโต้ ต่อสหรัฐฯ อิสราเอล และรัฐอ่าวอาหรับอื่นๆ ได้ และได้ฝึกซ้อมจําลองการปิดช่องแคบมาแล้ว อย่างไรก็ตาม อิหร่านมีแนวโน้มที่จะมองว่าการปิดช่องแคบเป็น “ทางเลือกสุดท้าย” โดยจะใช้เฉพาะ ในกรณีที่มีการอยู่รอดของระบอบการปกครองเป็นเดิมพัน เพราะอิหร่านเข้าใจดีว่าการปิดช่องแคบจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากทั่วโลก
ความสามารถของสหรัฐฯ และพันธมิตรในการรักษาช่องแคบให้เปิดกว้าง
สหรัฐอเมริกาได้ให้คํามั่นอย่างชัดเจนว่าจะเปิดช่องแคบฮอร์มุซให้เป็นเส้นทางขนส่งที่สะดวกและปลอดภัยตลอดเวลา โดยพิจารณาว่านี่เป็นผลประโยชน์ด้านความปลอดภัยของชาติที่สําคัญ กองเรือที่ห้าของสหรัฐฯ ซึ่งมีฐานทัพที่บาห์เรน มีภารกิจที่จะคุ้มครองเสรีภาพในการเดินเรือและการเคลื่อนย้ายสินค้าให้เป็นไปอย่างอิสระภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
ในทางปฏิบัติ สหรัฐฯ และพันธมิตร ได้พัฒนาความสามารถ และกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพื่อยับยั้งการแทรกแซงของอิหร่านในการใช้ช่องแคบ และเพื่อตอบโต้ความพยายามในการปิดล้อมใดๆ โดยอาศัยปัจจัยดังนี้
กำลังทางเรือที่เหนือกว่า กองทัพเรือสหรัฐฯ มีทั้งกลุ่มเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือพิฆาตและเรือลาดตระเวน ติดตั้งขีปนาวุธนําวิถี กองเรือที่ห้ายังรวมถึงเรือลาดตระเวน เรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกพร้อมนาวิกโยธิน เรือและหน่วยเฮลิคอปเตอร์ตอบโต้ทุ่นระเบิด อีกทั้งยานพาหนะใต้น้ำไร้คนขับและเรือโดรน เพื่อช่วยตรวจจับและเก็บกู้ทุ่นระเบิด
กองทัพเรือและพันธมิตร สหรัฐฯ ทํางานอย่างใกล้ชิดกับกองทัพเรือพันธมิตรเพื่อตรวจตราช่องแคบฮอร์มุซ โดยกลุ่มพันธมิตรที่นําโดยสหรัฐฯ ประกอบด้วย สหราชอาณาจักร ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน และอื่น ๆ ที่ดําเนินการลาดตระเวนอ่าวและคุ้มกันเรือพาณิชย์ สหราชอาณาจักรได้ส่งเรือรบเพิ่มเติม เพื่อคุ้มกันเรือที่ติดธงของสหราชอาณาจักร และจัดตั้งศูนย์สนับสนุน กองทัพเรือถาวรในบาห์เรน ฝรั่งเศสยังมีฐานทัพเรือในอาบูดาบี และเป็นผู้นําภารกิจเฝ้าระวังทางทะเลของ ยุโรป รัฐในภูมิภาค เช่น ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบาห์เรน จัดเรือลาดตระเวน และเครื่องบินที่สามารถมีส่วนร่วม ในการลาดตระเวนช่องแคบ และการสกัดกั้นภัยคุกคามอย่างรวดเร็ว
กลยุทธ์เชิงป้องกัน สหรัฐฯ มักเพิ่มกำลังทหารเพื่อยับยั้งความพยายามของอิหร่านในการคุกคามการเดินเรือในช่องแคบ เช่น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อิหร่านยึดเรือบรรทุกน้ำมันของชาติอื่นในช่องแคบอยู่หลายครั้ง และสหรัฐฯ ก็ตอบโต้ด้วยกำลังทหารโดยส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินทิ้งระเบิด และนาวิกโยธิน เข้ามาในพื้นที่เพื่อคุ้มครองการเดินเรือในช่องแคบและป้องกันไม่ให้อิหร่านเข้ายึดเรือบรรทุกน้ำมันในบริเวณช่องแคบ
เท่าที่ผ่านมา อิหร่านสามารถสร้างอุปสรรคต่อการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่สหรัฐฯ และพันธมิตรก็มีวิธีตอบโต้และสามารถเปิดช่องแคบกลับมาได้เป็นผลสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ภัยคุกคามจากอิหร่านในการปิดช่องแคบก็ยังมีอยู่ ตราบใดที่ยังมีความตรึงเครียดขัดแย้งกันอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ประเทศไทยกับช่องแคบฮอร์มุซ
ในปัจจุบัน ประเทศไทยใช้พลังงานจากน้ำมันเป็นสัดส่วนประมาณเกือบ 40% ของพลังงานทั้งหมด และใช้ก๊าซธธรมชาติประมาณเกือบ 30% ของทั้งหมด ในขณะที่ไทยต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศประมาณ 85% ของน้ำมันที่ใช้ทั้งหมด และต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติประมาณ 40% ของก๊าซที่ใช้ทั้งหมด (25% เป็น LNG และอีก 15% เป็นก๊าซผ่านท่อจากเมียนมาร์)
จึงกล่าวได้ว่าไทยต้องพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากต่างชาติในสัดส่วนมากถึง 46% ของการใช้พลังงานทุกชนิดรวมกัน (น้ำมันนำเข้า 34% และก๊าซนำเข้า 12%) ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นน้ำมันจากภูมิภาคตะวันออกกลาง (แหล่งสำคัญคือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต ซาอุดิอาระเบีย และโอมาน) และเป็นน้ำมันที่ขนส่งมาทางเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ส่วนก๊าซธรรมชาตินำเข้าจากตะวันออกกลาง ในส่วนของก๊าซธรรมชาติ ไทยนำเข้า LNG จากตะวันออกกลางเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของการนำเข้า LNG ทั้งหมด (25% จากกาตาร์ 5% จากโอมาน) โดยเกือบทั้งหมดต้องขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ
สรุปได้ว่า “อย่างน้อยหนึ่งในสามของพลังงานที่ใช้ในประเทศไทยคือน้ำมันและก๊าซที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ”
ดังนั้น การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะทำให้ไทยขาดพลังงานไปเป็นจำนวนหนึ่งในสามของพลังงานทั้งหมด ที่จะขาดแคลนมากที่สุดคือน้ำมันเพราะมีสัดส่วนที่ลดลงมากที่สุด แต่ปัญหาคงไม่ใช่เฉพาะไม่มีน้ำมันและก๊าซให้ใช้ได้อย่างเพียงพอเท่านั้น เชื่อกันว่าการปิดช่องแคบนี้จะก่อให้เกิดราคาน้ำมันที่แพงขึ้นเป็นอย่างมากเพราะจะเกิดการขาดแคลนน้ำมันทั่วโลก (supply ลดลงไป 20%) วงการน้ำมันคาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาเรลอย่างแน่นอน และอาจขึ้นไปสูงถึง 200 ดอลลาร์ก็เป็นได้
หากการปิดช่องแคบมีผลเป็นเวลาไม่นานเกินหนึ่งเดือน ไทยก็ยังคงมีน้ำมันเหลือใช้อย่างเพียงพอ โดยอาศัยสต๊อกน้ำมันสำรอง (ซึ่งกระทรวงพลังงานประเมินว่ามีสต๊อกให้ใช้ได้เป็นเวลา 60 วัน) อีกทั้งยังสามารถซื้อน้ำมันจากแหล่งผลิตในประเทศอื่นๆ นอกพื้นที่ตะวันออกกลางได้บ้าง แต่ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือราคาน้ำมันที่แพงขึ้นมากและจะทำให้ต้นทุนน้ำมันนำเข้าสูงขึ้นมากเช่นกัน
หากรัฐบาลไม่ใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาขายปลีกของน้ำมันก็จะสูงขึ้น และก็จะทำให้ค่าขนส่งและราคาสินค้าต่างๆ สูงขึ้นด้วยจนกลายเป็นปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งก็จะเป็นปัญหาที่รุมเร้าซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันอยู่แล้ว หากรัฐบาลเลือกใช้การอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ยิ่งจะทำให้กองทุนฯ ติดลบและเป็นหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก จากในปัจจุบันที่ติดลบอยู่ประมาณ 36,000 ล้านบาท
การปิดช่องแคบฮอร์มุซเป็นระยะเวลาหนึ่งก็จะทำให้ปริมาณ LNG จากตะวันออกกลางที่ขนส่งมาไทยขาดแคลนและแพงขึ้นได้เช่นกัน และก็จะมีผลกระทบต่อต้นทุนเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นได้
ดังนั้น สถานการณ์การสู้รบและความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลจึงเป็นสิ่งที่เราต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหลังจากสหรัฐฯ ได้ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดชนิด bunker buster เพื่อทำลายศูนย์พัฒนานิวเคลียร์ 3 แห่งในอิหร่านเมื่อวันที่ 22 มิถุนายนนี้ ยังไม่มีใครรู้ว่าอิหร่านจะตอบโต้สหรัฐฯ หรือไม่อย่างไร และเชื่อกันว่าหนึ่งในทางเลือกของอิหร่านคือการขัดขวางการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ หากอิหร่านตัดสินใจเลือกทางเลือกนี้และสร้างอุปสรรคในเส้นทางเดินเรือนี้ได้จริง ตลาดน้ำมันคงปั่นป่วนวุ่นวาย และไทยเราคงต้องเตรียมเผชิญกับความยากลำบากด้านพลังงานและเศรษฐกิจอีกรอบหนึ่ง