“สภาพัฒน์” เผยไตรมาส 3 ตลาดแรงงานได้รับผลกระทบสูงสุดว่างงานสูงสุด 8.7 แสนคนตั้งแต่การระบาดของโรค โดยกลุ่มผู้จบระดับอุดมศึกษามีอัตราว่างงานสูงสุด 3.63% ขณะที่หนี้สินครัวเรือนไทยเพิ่ม 5%
เมื่อวันที่ 22พ.ย. 64 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาส 3 ปี 2564 ภาพรวมตลาดแรงงานได้รับผลกระทบรุนแรงจากมาตรการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่มีความเข้มงวด ส่งผลให้ผู้ว่างงาน และอัตราการว่างงานสูงที่สุดตั้งแต่มี COVID-19 หนี้สินครัวเรือนขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่สัดส่วน NPLs ของสินเชื่อ เพื่ออุปโภคบริโภคต่อสินเชื่อรวมทรงตัว แต่ต้องเฝ้าระวังหนี้บัตรเครดิตที่มีหนี้เสียเพิ่มขึ้น ส่วนคดีอาญาโดยรวมเพิ่มขึ้น แต่ยังคงต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะคดีลักทรัพย์และคดียาเสพติด จึงต้องมีมาตรการในการป้องกันเหตุที่เข้มงวดมากขึ้น
ภาพรวมการจ้างงาน ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 37.7 ล้านคน ลดลงร้อยละ 0.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการจ้างงานภาคเกษตรกรรม ยังคงขยายตัวได้ มีการจ้างงาน 12.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1% เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มฤดูการเพาะปลูกข้าว
“ส่วนการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมลดลง 1.3% โดยสาขาที่มีการจ้างงานลดลงมาก ได้แก่ สาขาก่อสร้างลดลง 7.3% สาขาโรงแรม ภัตตาคารลดลง 9.3% ส่วนหนึ่งเป็นผลของมาตรการควบคุมการเปิดปิดสถานประกอบการ ทั้งการปิดแคมป์คนงาน และจำกัดการขายอาหาร”
สำหรับสาขาที่ขยายตัวได้ ประกอบด้วย สาขาการผลิต ขายส่งขายปลีก และสาขาขนส่ง เก็บสินค้า ขยายตัวได้ร้อยละ 2.1 0.2 และ 4.6 สาขาการผลิตที่มีการจ้างงานขยายตัวได้ดี เช่น การผลิตอาหารและเครื่องดื่ม การผลิตรถยนต์ การผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ชั่วโมงการทำงาน ชั่วโมงการทำงานหลักโดยเฉลี่ยของภาคเอกชนอยู่ที่ 43.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีชั่วโมงการทำงานอยู่ที่ 44.0 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และมีผู้ว่างงานชั่วคราวสูงถึงเกือบ 900,000 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนเพียง 470,000 คนอัตราว่างงานสูงสุด 8.7 แสนคน
ทั้งนี้ในส่วนการว่างงาน เพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่มีการระบาดของ COVID-19 มีผู้ว่างงาน 870,000 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานที่ 2.25% นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่มีการศึกษาระดับอุดมศึกษามีอัตราการว่างงานสูงสุด 3.63% รองลงมาเป็นปวส. 3.16% ผู้ว่างงานส่วนใหญ่จบในสาขาทั่วไป (บริหารธุรกิจการตลาด) จึงมีแนวโน้มประสบปัญหาการว่างงานยาวนานขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้อย่างจำกัดส่วนคนกลุ่มนี้ที่มีทักษะไม่ต่างกันจึงหางานได้ยากขึ้น
ขณะที่หนี้สินครัวเรือนขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP แม้จะปรับลดลงเล็กน้อยแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง ด้านคุณภาพสินเชื่อ ต้องเฝ้าระวังหนี้เสียจากบัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้นไตรมาส 2 ปี2564 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 14.27 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จาก 4.7% ในไตรมาสก่อน หรือคิดเป็นสัดส่วน 89.3% ต่อ GDP ลดลงจาก 90.6% ในไตรมาสก่อน ดังนั้นสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19
ด้านคุณภาพสินเชื่อ ยังต้องเฝ้าระวังหนี้บัตรเครดิตที่มีหนี้เสียเพิ่มขึ้น แม้ว่าสัดส่วน NPLs ของสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.92% ทรงตัว เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่สัดส่วน NPLs ของสินเชื่อบัตรเครดิตต่อสินเชื่อ รวมเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันจาก 3.04% ในไตรมาสก่อนมาเป็น 3.51% รวมถึงลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เสียจากบัตรเครดิต 1 ใน 3 เป็นผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี