วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightขยายระยะเวลา“แบงก์รัฐ” ลดเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาสถาบันการเงินฯ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ขยายระยะเวลา“แบงก์รัฐ” ลดเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาสถาบันการเงินฯ

รัฐบาลขยายระยะเวลาแบงก์รัฐลดเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เสริมความเข้มแข็งช่วยดูแลเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19

 

เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สถาบันการเงินเฉพาะกิจ หรือแบงก์รัฐได้เป็นกลไกสำคัญของรัฐบาลในการประคับประคองเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในส่วนของการดูแลลูกค้าเงินกู้ทั้งส่วนบุคคลและภาคธุรกิจที่ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง 

ดังนี้เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ธนาคารเฉพาะกิจอย่างต่อเนื่อง ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 64 ที่ผ่านมา จึงเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการปรับลดเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ของแบงก์รัฐทั้ง 4 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน  ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จากอัตราเดิมร้อยละ 0.25 เหลือร้อยละ 0.125 ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน ในปี 2565 ต่อไปอีก 1 ปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.65 เป็นต้นไป ซึ่งต่อเนื่องจากที่ได้ปรับลดมา 2 ปีในปี 2563-64 ที่ผ่านมา  จากนั้นในปี 2566 ให้กลับมานำส่งในอัตราเดิมที่ร้อยละ 0.25  

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การปรับลดอัตราเงินนำส่งฯ ดังกล่าว เนื่องมากจากกระทรวงการคลังได้ประเมินว่าสถานการณ์การแพร่ของโรคโควิด-19 ยังยืดเยื้อและมีความไม่แน่นอนสูง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ภาคธุรกิจและภาคประชาชนยังคงต้องการความช่วยเหลือ  ดังนั้นจึงต้องลดต้นทุนให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อให้เป็นกลไกในการดำเนินมาตรการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง  

ทั้งนี้ การปรับลดเงินนำส่งกองทุนฯ ของแบงก์รัฐทั้ง 4 แห่ง สอดคล้องกับแนวทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราเงินนำส่งจากธนาคารพาณิชย์เพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ในปี 2565 อีก 1 ปี จากอัตราปกติร้อยละ 0.46 เหลือ ร้อยละ 0.23  จากนั้นในปี 2566 ให้กลับมานำส่งในอัตราเดิมที่ร้อยละ 0.46  โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 เป็นต้นไป เช่นเดียวกัน

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img