วันอังคาร, พฤศจิกายน 26, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightคมนาคมเล็งปรับปรุงทางรถไฟลุยขนส่งสินค้าเพิ่ม 20%
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

คมนาคมเล็งปรับปรุงทางรถไฟลุยขนส่งสินค้าเพิ่ม 20%

“ศักดิ์สยาม” สั่งรฟท.อัพเกรดทาง-สะพานรถไฟทั่วประเทศรองรับการขนส่งสินค้าเพิ่ม 20%  พร้อมไฟเขียวจัดสรรงบดำเนินการในปี 67-69  เร่งทำแผนจัดหาหัวรถจักร-ล้อเลื่อนเพิ่ม

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมเตรียมการรองรับการเดินรถไฟขนส่งสินค้า น้ำหนักกดลงเพลา 20 ตัน/เพลาว่า ปัจจุบันเส้นทางรถไฟซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้มีการก่อสร้างปรับปรุงทางรถไฟให้สามารถรองรับรถจักรบรรทุกสินค้าขนาด 20 ตัน/เพลาแล้ว เช่น เส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ (กรุงเทพฯ – หนองคาย) สายตะวันออก (กรุงเทพฯ – ระยอง) และสายเหนือ (กรุงเทพฯ – เชียงใหม่)

ทั้งนี้ยังมีสะพานรถไฟในบางสายทางยังไม่ได้รับการปรับปรุงให้รองรับน้ำหนักกดลงเพลา 20 ตัน/เพลา โดยเฉพาะในเส้นทางสายใต้ ซึ่งสะพานรถไฟส่วนใหญ่รองรับน้ำหนักบรรทุกได้เพียง 16 ตัน/เพลา และมีสะพานรถไฟซึ่งถึงกำหนดต้องบำรุงรักษาตามระยะเวลา เช่น สะพานหอในสายเหนือ 2 แห่ง ที่จังหวัดลำปาง สะพานรถไฟสายใต้ จำนวน 8 แห่ง ที่จังหวัดชุมพร จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวันครศรีธรรมราช และสะพานรถไฟสาย วงเวียนใหญ่ – มหาชัย จำนวน 19 แห่ง และสะพานรถไฟช่วงหนองปลาดุก – สุพรรณบุรี จำนวน 23 แห่ง

ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงสะพานรถไฟดังกล่าว โดยเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณใช้งบประมาณปี 2566 ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนที่เดินทางด้วยรถไฟได้รับความปลอดภัยสูงสุดและลดระยะเวลาในการเดินทาง

รวมทั้งส่งเสริมการขนส่งสินค้า ให้รองรับปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น จากเดิมรถจักรน้ำหนักกดลงเพลา 16 ตัน/ เพลา รองรับการขนส่งสินค้าได้ ขบวนละ 2,100 ตัน หากปรับปรุงสะพานรถไฟให้รองรับการใช้รถจักรน้ำหนักกดลงเพลา 20 ตัน/เพลาจะรองรับเพิ่มขึ้นเป็นขบวนละ 2,500 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 20 % และสามารถใช้ความเร็วผ่านสะพานได้สูงสุดถึง 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากเดิมที่รถจักรจะผ่านสะพานรถไฟด้วยความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

สำหรับสะพานรถไฟในส่วนที่เหลือ จะดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณปี 2567-2569 ตามลำดับความจำเป็นในการปรับปรุง สะพานรถไฟทั่วประเทศ ให้รองรับน้ำหนักบรรทุก 20 ตัน/เพลา ส่วนสะพานที่อยู่ในเส้นทางที่มีแผนก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 นั้นจะดำเนินการปรับปรุงสะพานให้รองรับน้ำ 20 ตัน/เพลา ไปพร้อมกัน

ส่วนของสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ จ.หนองคาย นั้น ให้รฟท.ตรวจสอบข้อมูลว่า สะพานที่จะออกแบบใหม่รองรับ 20 ตัน/เพลา เพียงพอหรือไม่ และให้ประสานข้อมูลว่า สะพานในโครงการรถไฟลาว-จีน ออกแบบรองรับกี่ตัน/เพลา เพื่อให้มีความสอดคล้องและรองรับปริมาณการขนสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกันได้ให้ รฟท. พิจารณาตรวจสอบว่า สะพานรถไฟในประเทศไทยมีจุดใดที่ต้องดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซม และบำรุงรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อให้สามารถเดินรถได้อย่างปลอดภัย โดยให้พิจารณาขอรับการจัดสรรงบกลาง หรืองบประมาณเหลือจ่ายของ รฟท. และให้ดำเนินการภายในปี 2565

นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ในส่วนของ รถจักรดีเซลไฟฟ้าของรฟท.นั้น ปัจจุบันอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานจำนวน 219 คัน แบ่งเป็นรถจักรดีเซลไฟฟ้า (CSR) รุ่นใหม่ น้ำหนักกดลงเพลา 20 ตัน/เพลา จำนวน 20 คัน ใช้สำหรับขนส่งสินค้าและรถจักรที่มีน้ำหนักกดลงเพลา 15-16 ตัน/เพลา ได้แก่ รถจักรดีเซลไฟฟ้า (GEA) จำนวน 36 คัน รถจักรดีเซลไฟฟ้า (Hitachi) จำนวน 21 คัน รถจักรดีเซลไฟฟ้า (Alsthom) จำนวน 97 คัน และรถจักรดีเซลไฟฟ้า (GE) จำนวน 45 คัน

โดย รฟท.ได้ดำเนินการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่เพิ่มเติมอีก 50 คัน เพื่อทดแทนรถจักร GE เดิม ที่มีอายุการใช้งานกว่า 55 ปื โดยรถจักรดีเซลไฟฟ้า 20 คันแรกจะมาถึงไทยกลางเดือนมกราคม 2565 ก่อนนำมาทดสอบ และจะนำมาวิ่งให้บริการได้ประมาณกลางปี 2565 และอีก 30 คันจะได้รับมาในปี 2566

นอกจากนี้ รฟท. ยังอยู่ระหว่างติดตั้งระบบป้องกันการชนอัตโนมัติ หรือ ATP (Automatic Train Protection) ให้กับรถจักร CSR และ Alsthom จำนวน 70 คัน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2566 ซึ่ง ATP จะช่วยควบคุมระยะห่างของขบวนรถแต่ละคันให้อยู่ในระยะที่ปลอดภัย กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน รถจักรจะทำการเบรกอัตโนมัติ เป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสารมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถนำมาใช้ในทางรถไฟร่วมกับรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชันได้อย่างปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม รฟท.ยังได้เตรียมประกวดราคาการปรับปรุงรถจักรให้มีสภาพใหม่ (Refurbish) รวมทั้งติดตั้งระบบ ATP ให้กับรถจักร GEA และ Hitachi อีก 57 คัน เพื่อยกระดับการให้บริการและเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้โดยสารระบบรางต่อไป

ส่วนการจัดหารถจักรและล้อเลื่อนเพิ่มเติม ให้ รฟท. จัดทำข้อมูลโดยพิจารณาแนวทางการลงทุนหลากหลายรูปแบบ เช่น งบประมาณ เงินกู้ การ outsource ให้กับเอกชน หรือการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) นอกจากนี้ ในการจัดหาหัวรถจักรให้พิจารณาเป็นหัวรถจักรไฟฟ้าหรือระบบไฮบริด (hybrid) โดยเฉพาะในย่านสถานีกลางบางซื่อ และให้ รฟท. จัดทำแผนปฏิบัติการ (action plan) ในการดำเนินงานรองรับการใช้งานสถานีกลางบางซื่อให้ชัดเจนด้วย

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img