ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.20 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ตลาดการเงินเปิดรับความเสี่ยง หลังถ้อยแถลงเจ้าหน้าที่เฟดระบุว่าจะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดตามความเหมาะสมไม่เหนือความคาดหมาย จับตาการประชุมของธนาคารกลางออสเตรเลีย-การประกาศงบบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4/64
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.20 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.29 บาทต่อดอลลาร์
ตลาดการเงินโดยรวมเริ่มกลับมาทยอยเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง หนุนโดยแรงซื้อ Buy on Dip จากกลุ่มผู้เล่นบางส่วนที่เชื่อว่า การปรับฐานในช่วงที่ผ่านมาทำให้ราคาหุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ยังคงขยายตัวได้ดีกว่าคาด
นอกจากนี้ตลาดการเงินยังได้แรงหนุนจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดที่ออกมายืนกรานว่า เฟดจะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดตามความเหมาะสมและไม่เหนือความคาดหมาย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง สะท้อนว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยราว 0.25% ในแต่ละครั้งเหมือนในอดีต ซึ่งจะช่วยลดความกังวลของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มคาดว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 0.50% ในการปะชุมเดือนมีนาคมนี้
ทั้งนี้แรงซื้อ Buy on Dip สินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Tech ได้หนุนให้ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พลิกกลับมาพุ่งขึ้นกว่า +3.41 % ส่วนดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น +1.89% ส่วนดัชนี Dowjones ก็ปรับตัวขึ้นราว +1.17%
ขณะที่ยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้นต่อราว +0.91% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ ยุโรป อาทิ ASML +5.0%, Infineon Tech. +3.8%, Adyen +3.6% โดยในระยะสั้นนี้ นักลงทุนควรติดตาม ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่อาจบานปลายสู่สงคราม ซึ่งอาจกดดันให้ตลาดหุ้นยุโรปผันผวนต่อได้
อย่างไรก็ดีเรามองว่า หากตลาดหุ้นยุโรปมีการปรับฐานลงมาต่อ ก็จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนทยอยเข้าสะสมการลงทุนในยุโรปเพื่อรอลุ้นการฟื้นตัวเศรษฐกิจหลังการระบาดโอมิครอนมีสัญญาณว่าจะเริ่มสงบลงได้
อนึ่ง เรามองว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกอาจเริ่มกลับมาเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องได้ หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเริ่มมีการประกาศออกมามากขึ้น อาทิ เกินกว่า 70% และโดยรวมผลประกอบการต้องออกมาเติบโตต่อเนื่องและดีกว่าคาด ถึงจะช่วยพยุง sentiment ของตลาดให้ทยอยกลับมาเปิดรับความเสี่ยงได้
ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ ภาวะตลาดทยอยเปิดรับความเสี่ยงได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ระยะยาว อาทิ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย สู่ระดับ 1.78% อย่างไรก็ดี ในระยะสั้น ตลาดยังมีโอกาสกลับมาปิดรับความเสี่ยงได้จากปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่คอยกดดันไม่ให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวสามารถปรับตัวขึ้นไปมากได้ จนกว่าความเสี่ยงดังกล่าวจะคลี่คลายลง
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก กดดันโดยแนวโน้มการทยอยเปิดรับความเสี่ยงของตลาดที่ทำให้ความต้องการถือเงินดอลลาร์เพื่อเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวลงใกล้ระดับ 96.54 จุด นอกจากนี้ แนวโน้มเงินดอลลาร์ที่กลับมาอ่อนค่าลง ได้หนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์กลับขึ้นมาใกล้ระดับ 1,796 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือใกล้แนวรับสำคัญในโซน 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง ซึ่งเราคาดว่าอาจเริ่มเห็นผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำบ้าง
สำหรับวันนี้ ตลาดจะจับตาการประชุมของธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) โดยตลาดประเมินว่า แนวโน้มเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น จะหนุนให้ RBA เริ่มส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น อาทิ ลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาล ทั้งนี้ ในการประชุม RBA ที่จะถึงนี้ ตลาดมองว่า RBA อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.10% เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจในช่วงที่มีการระบาดของโอมิครอน อย่างไรก็ดี มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่า RBA จะส่งสัญญาณใช้ทยอยใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ได้หนุนให้ เงินออสเตรเลียดอลลาร์ (AUD) แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 0.706 ดอลลาร์ ต่อ AUD
นอกจากนี้ ตลาดจะติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด ซึ่งเราคาดว่า รายงานผลประกอบการจะมีผลต่อตลาดการเงินมากขึ้น โดยหากผลประกอบการสามารถขยายตัวดีขึ้นกว่าคาด ก็อาจพอช่วยพยุง sentiment ของตลาดได้บ้าง แต่โดยรวมตลาดอาจยังคงผันผวนเนื่องจากยังคงมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทผันผวนไปตาม sentiments ของตลาดการเงิน โดยหากตลาดการเงินสามารถทยอยเปิดรับความเสี่ยงได้ (Risk-On) ก็จะลดความน่าสนใจของเงินดอลลาร์ลงและอาจช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาได้บ้าง
อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม อาทิ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่อาจกลับมากดดันตลาดการเงินโดยรวมได้อีกครั้ง ทั้งนี้ในระยะสั้น เราคงมองว่า เงินบาทจะยังแกว่งตัว sideways และคงไม่สามารถแข็งค่าไปได้มากจนหลุดแนวรับเชิงจิตวิทยาแถว 32.80 บาทต่อดอลลาร์ได้ เนื่อง จากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจยังไม่ได้ฟื้นตัวดีขึ้นชัดเจน ซึ่งต้องรอให้สถานการณ์การระบาดโอมิครอนคลี่คลายลง จนรัฐบาลประกาศพร้อมเปิดประเทศให้มีการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาคึกคักมากขึ้นได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ แนวต้านของเงินบาทอาจอยู่ในโซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราคาดว่าจะเห็นฝั่งผู้ส่งออกต่างทยอยขายเงินดอลลาร์มากขึ้น ส่วนแนวรับเงินบาทในช่วงนี้ จะอยู่ในช่วง 33.10 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าผู้นำเข้าจะรอซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงดังกล่าวมากขึ้นมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.10-33.30 บาทต่อดอลลาร์