ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หลังจีนเริ่มปรับแผนการรับมือการระบาดโอมิครอนใช้มาตรการ Zero Covid เล็งเจรจา Travel Bubble กับไทยในเร็วนี้ ขณะที่พาวเวลล์สนับสนุนขึ้นดอกเบี้ยเฟดครั้งแรกในการประชุมมี.ค.นี้ 0.25% เกาะติดผลกระทบรัสเซียกับยูเครน
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากจีนอาจเริ่มปรับแผนการรับมือการระบาดโอมิครอน หรือ ปรับแผนการใช้มาตรการ Zero Covid ซึ่งอาจทำให้ ทางการจีนสามารถเริ่มทดลองการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดต่างๆ ซึ่งอาจรวมถึงการเจรจา Travel Bubble กับประเทศไทยในเร็วนี้
โดยปัจจัยดังกล่าวได้ช่วยหนุนให้เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ซึ่งเรามองว่า ภาวะตลาดเริ่มกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ก็อาจช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ โดยปัจจัยหนุนค่าเงินบาทยังคงเป็นฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ยังเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี สภาวะสงครามที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงอาจกดดันให้ตลาดพลิกกลับไปปิดรับความเสี่ยงและผันผวนหนักได้ทุกเมื่อ ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวจะทำให้เงินบาทอาจผันผวนในกรอบที่กว้างกว่าช่วงปกติได้ โดยเราคงมอง แนวต้านสำคัญของเงินบาทอยู่ใกล้โซน 32.80 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนแนวรับสำคัญ จะอยู่ในช่วง 32.20-32.40 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.60 บาทต่อดอลลาร์
โดยตลาดการเงินพลิกกลับมาทยอยเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง หลังประธานเฟด Jerome Powell ได้ออกมาสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดครั้งแรกในการประชุมเดือนมีนาคมนี้ 0.25% ทำให้ตลาดคลายความกังวลโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.50% ลง
นอกจากนี้ ประธานเฟดยังระบุว่า เฟดยังคงคาดหวังว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงในปีนี้และปัญหาด้าน supply chain จะค่อยๆ ผ่อนคลายลง ทำให้เฟดสามารถขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ได้
อย่างไรก็ดี ประธานเฟดระบุว่า เฟดก็พร้อมจะขึ้นดอกเบี้ยได้มากกว่า 0.25% หรือขึ้นดอกเบี้ยได้หลายครั้ง หากเงินเฟ้อยังเร่งตัวสูงขึ้นมากกว่าคาด ทั้งนี้ เฟดประเมินว่า ผลกระทบจากภาวะสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนได้สร้างความไม่แน่นอนอย่างมากต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเฟดจะติดตามสถานการณ์และผลกระทยอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ถ้อยแถลงดังกล่าวของประธานเฟดได้ทำให้ ผู้เล่นในตลาดได้ปรับลดจำนวนการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดลง จากเดิมที่เคยปรระเมินว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้ราว 7-8 ครั้งในปีนี้ ซึ่งมุมมองดังกล่าวก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนให้ตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้ ทำให้ในฝั่งสหัฐฯ ดัชนีหุ้น S&P500 ปรับตัวขึ้นราว +1.86% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปิดตลาด +1.62%
สำหรับยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป แม้จะผันผวนหนักในช่วงแรก แต่ก็สามารถรีบาวด์และปิดตลาด +1.50% โดนได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานที่สอดคล้องกับทิศทางของราคาสินค้าพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นจากภาวะสงคราม อาทิ Totel Energies +8.2%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ของหุ้นกลุ่มการเงินที่เผชิญแรงขายอันหนักหน่วงก่อนหน้า ING +4.5%, Santander +3.5% อย่างไรก็ดีเรายังคงมองว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครนจะยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนต่อไปในระยะสั้น และนักลงทุนอาจชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปไปก่อน เพื่อประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรป หากมีการยกระดับมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียเพิ่มเติม หลังสถานการณ์สงครามอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากรัสเซียได้ทุ่มกำลังเข้าโจมตีเพื่อชนะศึกในระยะสั้นและสร้างความได้เปรียบในการเจรจา จนอาจทำให้ก่อความเสียหายที่รุนแรง
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ แนวโน้มการทยอยขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและภาวะตลาดกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ได้ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นกว่า 10 bps แตะระดับ 1.84% สอดคล้องกับมุมมองของเราที่มองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี จะกลับมาปรับตัวขึ้นได้ หากเฟดยังเดินหน้าการขึ้นดอกเบี้ยและมองว่าผลกระทบจากสงครามต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจมีไม่มากนัก
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ผันผวน ก่อนที่จะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังผู้เล่นในตลาดทยอยกล้าเปิดรับความเสี่ยง ขณะเดียวกัน ผู้เล่นบางส่วนก็มองว่าเฟดอาจจะไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยได้หลายครั้งเท่าที่ตลาดเคยประเมินไว้ถึง 7-8 ครั้งในปีนี้ ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ย่อตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 97.36 จุด
ทั้งนี้ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดและบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น ได้กดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงสู่ระดับ 1,930 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่จะเห็นได้ว่า ผู้เล่นในตลาดก็ยังไม่ได้เทขายทองคำรุนแรง เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนยังคงต้องการถือทองคำเพื่อลดความเสี่ยงพอร์ตจากสถานการณ์สงคราม อย่างไรก็ดี เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอทยอยขายทำกำไรราคาทองคำได้ หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้านก่อนหน้าในช่วง 1,950-1,975 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งโฟลว์ขายทำกำไรทองคำอาจพอช่วยให้เงินบาทไม่อ่อนค่าไปมากได้ในระยะสั้นนี้
สำหรับวันนี้ ตลาดจะจับตาความรุนแรงของสงครามรัสเซีย-ยูเครนและท่าทีของฝั่งตะวันตกต่อการยกระดับมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติม หลังรัสเซียได้ทุ่มกำลังในการบุกโจมตีหนักขึ้นเพื่อเอาชนะยูเครนให้ได้ในสัปดาห์นี้ ทำให้เกิดภาพความสูญเสียต่อชีวิตพลเรือนมากขึ้น ซึ่งเราคงมองว่า ความเสี่ยงสงครามจะยังคงสามารถกดดันให้ตลาดการเงินกลับมาผันผวนในระยะสั้นได้
ทั้งนี้ นอกเหนือจากสถานการณ์สงคราม ผู้เล่นในตลาดจะจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงการแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาของประธานเฟด เพื่อประเมินมุมมองของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อและการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต หลังเกิดภาวะสงครามรัสเซียกับยูเครนขึ้น