โบรกมองหุ้นไทยสัปดาห์หน้าเผชิญความผันผวนจาก 3 ปัจจัยลบทั้งใน-นอกประเทศ แม้ว่าปมขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนกระทบการค้าจำกัด แต่ต้องเกาะติดสถานการณ์ใกล้ชิด เปิดสถิติตั้งแต่ม.ค.-ปัจจุบันต่างชาติเก็บหุ้นไทยไปแล้ว 8.7 หมื่นล้านเน้น Selective Buy
นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัสเปิดเผยถึงภาวะตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าว่า ขึ้นกับ 3 ปัจจัยหลักที่ต้องติดตาม ประเด็นแรกคือความไม่แน่นอน ปมขัดแย้งรัสเซียและยูเครนจะยืดเยื้อนานแค่ไหน หลังรัสเซียบอมบ์ยูเครนยับโจมตีทุกทาง เพราะหากสถานการณ์ตึงเครียดต่อนเนื่องจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นโลกและหุ้นไทยผันผวน
นอกจากนี้หากยืดเยื้ดอาจทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกปรับลดจีดีพีลง ซึ่งปัจจุบันรัสเซียมีสัดส่วนต่อจีดีพีโลก 3.1% และยูเครนอยู่ที่ 0.4%
ประเด็นต่อมาคือ ติดตามเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือนก.พ.ที่ประกาศวันที่ 10 มี.ค.นี้คาดเพิ่มขึ้น 7.9% จากเดิมอยู่ที่ 7.5% ซึ่งต้องดูว่ามากกว่าคาดหรือไม่หลังจากที่น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น หากเงินเฟ้อมากกว่าคาดการณ์จะกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.นี้ จากก่อนหน้านี้ประเมินว่าจะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 5 ครั้ง อาจเพิ่มขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้
ประเด็นสุดท้ายคือ ตัวเลขโควิดยอดผู้ติดเชื้อทะลุ 20,000 รายต่อวันและผ่านการตรวจ ATK สูงถึง 40,000 รายต่อวัน ถ้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจะทำให้ศบค.ออกมาตรการคุมเข้มกิจกรรมเศรษฐกิจหรือไม่
นอกจากนี้ต้องติดตามว่าภาครัฐจะมีมาตรการลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนหรือไม่หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมาไทยไม่ได้รับผลกระทบจากปมขัดแย้งครั้งนี้มากนักเพราะการค้ารัสเซียไทยมีสัดส่วนเพียง 0.8%
ส่วนเงินเฟ้อในเดือนม.ค.ของไทยอยู่ที่ 5.81% YOY และเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 1.8% YOY มาจากค่าน้ำค่าไฟและก๊าซที่ปรับตัวเพิ่ม แต่ดอกเบี้ยของไทยยังไม่มีการปรับขึ้น และผลกระทบของรัสเซีย-ยูเครนอยู่ในวงจำกัดทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในหุ้นไทยในช่วงนี้กันมาก
นอกจากนี้การที่ MSCI-FTSE ถอดหุ้นรัสเซียออกจากดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)หลังถูกคว่ำบาตร จากในปัจจุบันรัสเซีย มีน้ำหนักอยู่ในดัชนี MSCI Emerging Marketsอยู่ที่ 1.5% ลดลงจากตัวเลขในสัปดาห์ํผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 2.2% ขณะที่รัสเซียมีน้ำหนักอยู่ในดัชนีFTSE อยู่ที่ 1.3% จะทำให้หุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศถูกเพิ่มน้ำหนักเข้าไปทดแทน ซึ่งจะเห็นฟันด์โฟลว์ช่วยพยุงตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ตั้งแต่ม.ค.-ปัจจุบัน (YTD) ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 8.7 หมื่นล้านบาท โดยในเดือนก.พ.ช่วงเกิดสงครามซื้อสุทธิ 3.3 หมื่นล้านบาท และวันที่ 1-4 มี.ค.ซื้อสุทธิ 9.7 พันล้านบาทด้านกลยุทธ์การลงทุนเน้น หุ้นได้รับผลกระทบจำกัด ชู Selective Buy ประเมินกรอบดัชนี สัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวที่ 1,655-1,700 จุด