ผู้ประกอบการผลิตนมสด-นมข้นกระป๋อง-บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแห่ขอปรับราคาสินค้าอ้างต้นทุนพุ่งเริ่มเม.ย.นี้ ขณะที่ปุ๋ยเตรียมร่อนหนังสือถึงจุรินทร์ยกเลิกการตรึงราคา
นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่งค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากผู้ผลิตนมสดและนมข้นกระป๋องรายใหญ่ในตลาดว่าภายในเดือนมีนาคม-เมษายนนี้ จะปรับราคาขายขึ้นอีก 70-90 บาทต่อลัง (48 กระป๋อง) ส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับขึ้น 2 บาทต่อกระป๋อง โดยผู้ผลิตแจ้งว่าสังกะสีที่นำเข้าจากต่างประเทศเพื่อใช้ผลิตกระป๋องปรับราคาขึ้น
นอกจากนี้ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแจ้งขอปรับขึ้นราคาขายส่งลังละ 15-18 บาท หรือซองละ 10- 15 สตางค์ จากเดิมที่จะขึ้นราคาซองละ 25 สตางค์ ทำให้กำไรของร้านค้าลดลงเหลือซองละ 85 สตางค์ จากเดิม 1 บาท โดย เหตุผลที่ผู้ผลิตแจ้งขึ้นราคามาจากต้นทุนผลิตปรับขึ้นสูงมาก ทั้งน้ำมันปาล์ม แป้งสาลี และซองบรรจุภัณฑ์
นางจรรยา สว่างจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พี.โอเวอร์ซีส์ สตีล จำกัด (มหาชน) ผู้ค้าเหล็ก กล่าวว่า จากต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาทางโรงงานผู้ผลิตเหล็กเส้นในประเทศเพื่อใช้ในการก่อสร้างปรับราคาขายอีก 10% ไปอยู่ที่ 26 บาทต่อกก. จากปลายปี 64 อยู่ที่ 24 บาทต่อ กก. และหลังเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน คาดว่าราคาขายจะปรับขึ้นอีกเป็น 28 บาทต่อ กก.
นายเปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช นายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจเกษตรไทย กล่าวว่า สมาคมจะส่งหนังสือถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ในวันนี้ (8 มี.ค.) เพื่อขอให้ยกเลิกมาตรการตรึงราคาขายปุ๋ยเคมี เพราะขณะนี้รัสเซียห้ามการส่งออกปุ๋ย โดยรัสเซียเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก คิดเป็นสัดส่วน 25% ของปริมาณปุ๋ยเคมีในตลาดโลก ซึ่งจะทำให้ปุ๋ยหายไปจากตลาด และผลักดันให้ราคาปรับขึ้นอีก
ขณะที่ไทยปริมาณการนำเข้าจะลดลง เพราะปี 64 ไทยนำเข้าจากรัสเซีย 500,000 ตัน และเบลารุส 200,000 ตัน ผ่านท่าเรือยูเครน แต่นำเข้าไม่ได้แล้ว ประกอบกับผู้ค้าปุ๋ย ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้นมากกว่า 100% จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น หากยังใช้นโยบายตรึงราคาขาย อาจทำให้ปุ๋ยในประเทศหายไปจากท้องตลาด เพราะราคาขายไม่คุ้มกับต้นทุน
