ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ระดับ 33.34 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เฟดขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อตามตลาดคาดการณ์ 0.25%-ลุ้นผลเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน-ผลประชุมบีโออี-ซีบีซี-บีไอ
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 33.34 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจาก ระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 33.38 บาทต่อดอลลาร์ โดยผู้เล่นในตลาดการเงินเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยแนวโน้มการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่อาจจะบรรลุข้อตกลงกันได้ หลังจากที่ทางยูเครนพร้อมที่จะหารือเกี่ยวกับสถานะประเทศเป็นกลาง อีกทั้งผู้นำทั้งสองประเทศอาจเปิดการเจร จาโดยตรงในระยะสั้นนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การยุติสงครามได้ในที่สุด
นอกจากนี้ ตลาดการเงินยังได้แรงหนุนจากการที่ คณะกรรมการนโยบายการเงินเฟด (FOMC) มีมติขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 0.25-0.50% ตามคาด พร้อมกันนั้น เฟดยังได้ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งในปีนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเฟด ณ สิ้นปี จะอยู่ที่ระดับ 1.75-2.00%
ส่วนในปีหน้านั้น เฟดมองการขึ้นดอกเบี้ยอีก 4 ครั้ง ทำให้จุดสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้จะอยู่ที 2.75-3.00% ทั้งนี้การปรับขึ้นประมาณการดอกเบี้ยนโยบายของเฟดนั้นสอดคล้องกับมุมมองของเฟดที่ต้องการจัดการปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งสะท้อนผ่านการปรับคาดการณ์เงินเฟ้อ PCE ในปีนี้ที่สูงถึง 4.3% และ 2.7% ในปีหน้า อนึ่งในการประชุมครั้งนี้ เฟดยังได้ส่งสัญญาณเตรียมลดงบดุลในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนพฤษภาคม
ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดนั้น ได้หนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นพร้อมเพรียงกัน แม้ว่าจะมีจังหวะย่อตัวลงบ้างในจังหวะรับรู้การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก็ตาม โดยดัชนีหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ Nasdaq พุ่งขึ้นกว่า +3.77% ตามแรงซื้อ buy on dip หุ้นเทคฯ ที่ปรับตัวลงหนักก่อนหน้า ส่วนดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นราว +2.24% โดยมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มการเงินที่จะได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น
ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป พุ่งขึ้นราว +4.05 % ท่ามกลางความหวังการเจรจาสันติภาพ ส่งผลให้หุ้นในกลุ่ม Cyclical รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคฯ สา มารถปรับตัวขึ้นได้ดี อาทิ Infineon Tech. +8.3%, ASML +7.1%, Intesa Sanpaolo +7.0%, ING +6.3%
ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ เนื่องจากตลาดได้รับรู้แนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟดมาพอสมควรแล้ว ทำให้ เมื่อเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยและปรับประมาณการดอกเบี้ยตามคาด ตลาดจะไม่ได้มีการปรับสถานะถือครองบอนด์อย่างมีนัยยะสำคัญ ทำให้บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 2.17%
ทั้งนี้คาดว่า หากตลาดเลิกกังวลปัจจัยสงคราม บอนด์ยีลด์ระยะยาวก็จะสามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นได้ต่อเนื่อง จากแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟด ซึ่งตลาดจะกลับมาให้น้ำหนักประเด็นการลดงบดุลของเฟด ว่าจะมีอัตราการลดงบดุลขนาดไหนและเฟดจะมีโอกาสขายตราสารหนี้ออกมาหรือไม่
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ผันผวน ก่อนที่จะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง ท่ามกลางความหวังการเจรจาสันติภาพ
ขณะเดียวกัน ผลการประชุมเฟดก็ไม่ได้ผิดไปจากที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ย่อตัวลงใกล้ระดับ 98.40 จุด ที่น่าสนใจคือ แม้ว่าเฟดจะมีแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น รวมถึงผู้เล่นในตลาดต่างมีความหวังต่อการเจรจาสันติภาพ แต่ราคาทองคำก็สามา รถรีบาวด์จากระดับ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ กลับมาสู่ระดับ 1,928 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งผู้เล่นในตลาดทองคำควรระมัดระวังแรงขายทำกำไร หากสถานการณ์สงครามคลี่คลายลงชัดเจน
สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอติดตามการเจรจาระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อย่างใกล้ชิด หลังทั้งสองฝ่ายยังคงเดินหน้าการเจรจาสันติภาพอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี สถานการณ์สงครามและการเจรจายังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง และอาจทำให้ตลาดการเงินยังมีโอกาสผันผวนสูงต่อไปได้ในระยะสั้นนี้
ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น นอกเหนือจากการประชุมเฟดที่ตลาดจะรอจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางอื่นๆ โดยในฝั่งยุโรป ตลาดประเมินว่า แม้ว่าสงครามอาจสร้างความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจ แต่ทว่า ปัญหาเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้นและอาจอยู่ในระดับสูงได้นานกว่าคาด จะกดดันให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) สามารถขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.75% ได้
ทั้งนี้ BOE อาจสื่อสารกับตลาดว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นและแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นกับผลกระทบจากสงครามต่อแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษโดยเฉพาะการเติบโตเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ
ส่วนเอเชีย ความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นจากผลกระทบของสงครามจะกดดันให้บรรดาธนาคารกลางในฝั่งเอเชียยังจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายไปก่อน โดยตลาดคาดว่า ธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) และธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.125% และ 3.50% ตามลำดับ
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทแกว่งตัว sideways และมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ตามภาวะการเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินที่อาจหนุนให้นักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ไทยมากขึ้น อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและค่าเงินบาทยังคงเป็น ภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจากผลกระทบของการระบาดโอมิครอนระลอกใหม่ ซึ่งต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
อนึ่ง เรามองว่า แนวต้านของเงินบาทจะอยู่ใกล้โซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไปจะอยู่ที่ 33.75) ซึ่งเริ่มเห็นบรรดาผู้ส่งออกมารอขายเงินดอลลาร์ในช่วงดังกล่าว ส่วนแนวรับสำคัญ จะอยู่ในช่วง 33.20 บาทต่อดอลลาร์ โดยฝั่งผู้นำเข้า รวมถึงผู้เล่นที่เป็นบริษัทต่างชาติ ต่างก็รอจังหวะ buy on dip อยู่ในโซนดังกล่าวพอสมควร มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.20-33.40 บาทต่อดอลลาร์