เงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.51 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาทยอยเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทย จับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ต่อมุมมองของ ทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังรัสเซียถล่มยูเครน ขณะที่นาโต้เตรียมเพิ่มกำลังทหารในยุโรปตะวันออก รับมือภัยคุกคามจากรัสเซีย
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.51 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.60 บาทต่อดอลลาร์ โดยนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาทยอยเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทย และเริ่มเห็นแรงขายบอนด์ระยะสั้นของนักลงทุนต่างชาติที่ลดลงต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทผันผวนในกรอบกว้าง โดยระหว่างวันมีโอกาสที่จะเห็นเงินบาทอ่อนค่า ไปทดสอบแนวต้านในโซน 33.70 บาทต่อดอลลาร์ได้อีกครั้ง กดดันโดยความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงครามที่ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ขณะเดียวกัน ในช่วงนี้จะมีโฟลว์ธุรกรรมปิดปีงบประมาณของทางญี่ปุ่น ทำให้มีโฟลว์ซื้อเงินเยนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง (สอดคล้องกับจังหวะทีเงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าหนักแตะระดับกว่า 122 เยนต่อดอลลาร์)
ทั้งนี้ ในระยะสั้น เงินบาทยังคงมีแนวต้านของเงินบาทจะอยู่ใกล้โซน 33.75 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเรายังคงเห็นบรรดาผู้ส่งออกต่างมารอขายเงินดอลลาร์ในช่วงดังกล่าว ขณะที่แนวรับจะอยู่ในช่วง 33.20-33.40 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งใกล้กับแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 100 วันและ 200 วัน มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.45-33.70 บาทต่อดอลลาร์
บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว จากความกังวลแนวโน้มสงครามรัสเซีย-ยูเครนอาจยืดเยื้อ ขณะเดียวกัน ที่ประชุม NATO ได้ข้อสรุปเตรียมเพิ่มกำลังทหารในยุโรปตะวันออกเพื่อรับมือภัยคุกคามจากรัสเซียและพร้อมที่จะเพิ่มการช่วยเหลือยูเครนไปพร้อมกับการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย
อย่างไรก็ดี ท่าทีที่แข็งกร้าวของกลุ่มพันธมิตร NATO นั้นไม่ได้กดดันให้ตลาดปิดรับความเสี่ยงหนัก เนื่องจากบรรดากลุ่มประเทศยุโรปยังคงมีความเห็นที่ไม่ตรงกันในประเด็นมาตรการคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย
นอกจากนี้ การเจรจานิวเคลียร์ดีลกับอิหร่านที่มีความคืบหน้ามากขึ้นก็ช่วยลดความกังวลปัญหาขาดแคลนพลังงานจากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง (ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ย่อตัวลงจากระดับ 122 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สู่ระดับ 118.6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) ซึ่งการย่อตัวลงของราคาน้ำมันได้ช่วยลดความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ Stagflation ลงบ้าง
ฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้ตลาดจะยังคงกังวลสถานการณ์สงคราม แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ได้แรงหนุนจากความกังวลแนวโน้มเกิดภาวะ Stagflation ที่ลดลง หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนมีนาคมปรับตัวสูงขึ้น ดีกว่าที่ตลาดคาด หนุนให้ ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น +1.43%
ส่วนยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวลงราว -0.15% ท่ามกลางภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด จากความกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยตลาดหุ้นยุโรปถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่ม Cyclical โดยเฉพาะกลุ่มการเงิน BNP Paribas -2.2%, Santander -2.1% และ ING -1.8% ซึ่งเรามองว่า ความไม่แน่นอนของสงครามจะยังคงทำให้ตลาดหุ้นยุโรปผันผวนสูง และแนะนำให้ผู้ลงทุนชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปไปก่อน
ทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ ภาพรวมของตลาดการเงินที่ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แกว่งตัวใกล้ระดับ 2.38% ต่อ เรามองว่า แม้ในระยะสั้นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะยังคงผันผวนและแกว่งตัวในกรอบ sideways แต่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ตามการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟด โดยเฉพาะในช่วงการประชุมเฟดเดือนพฤษภาคม ที่เราประเมินว่า อาจจะสามารถเห็นจุดสูงสุดของบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ในปีนี้ได้
ตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์แกว่งตัว sideways โดยมีทั้งจังหวะแข็งค่าและอ่อนค่าลง ตามบรรยากาศในตลาดการเงิน ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักและล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ยังเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 98.73 จุด
อย่างไรก็ดี ที่น่าสนใจคือการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ซึ่งได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงคราม หนุนให้ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นทะลุแนวต้าน สู่ระดับ 1,961 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากสถานการณ์สงครามทวีความรุนแรงมากขึ้น หรือบรรดาประเทศฝั่งตะวันตกประกาศมาตการคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย จนทำให้ตลาดปิดรับความเสี่ยงหนัก ก็มีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นไปทดสอบโซน 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ในทางกลับกัน หากสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงและตลาดเปิดรับความเสี่ยง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะทยอยขายทำกำไรทองคำ กดดันให้ราคาทองคำกลับมาในโซน 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ตลาดรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อาทิ John Williams, Christopher Waller เพื่อวิเคราะห์มุมมองของเฟดต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และนโยบายการเงินเฟด หลังแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความไม่แน่นอนมากขึ้นจากผลกระทบของภาวะสงคราม
ทั้งนี้ตลาดอาจรอจับตามุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่อประเด็นการปรับลดงบดุล ซึ่งเฟดไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดมากนักในการประชุมเฟดล่าสุด โดยเรามองว่า ประเด็นการปรับลดงบดุลอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้มากกว่าทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด