วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 24, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight“เงินบาท”พลิกแข็งค่า รับข่าว“รัสเซีย”พร้อมลดระดับปฎิบัติการทางทหาร
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“เงินบาท”พลิกแข็งค่า รับข่าว“รัสเซีย”พร้อมลดระดับปฎิบัติการทางทหาร

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.54 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หลังรัสเซียพร้อมลดระดับปฎิบัติการทางทหารในพื้นที่รอบเมืองหลวงยูเครนลง เกาะติดประชุมกนง. คาดคงดอกเบี้ย 0.50% ประคองการฟื้นตัวเศรษฐกิจ

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.54 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.64 บาทต่อดอลลาร์ ผู้เล่นในตลาดการเงินต่างเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังจากที่ล่าสุด การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครนมีความคืบหน้ามากขึ้นมากที่สุด นับตั้งแต่มีการเจรจาสันติภาพเกิดขึ้น 

โดยฝั่งรัสเซียก็พร้อมจะลดระดับปฎิบัติการทางทหารในพื้นที่รอบเมืองหลวงยูเครนลงอย่างมาก และพร้อมยอมรับเงื่อนไขเป็นกลางของยูเครน ขณะเดียวกันทางฝั่งยูเครนได้มีการเปิดเผยรายละเอียดเงื่อนไขการเป็นกลางที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งภาพดังกล่าวอาจนำไปสู่การเจรจาระหว่างผู้นำของสองประเทศและอาจยุติสงครามได้ในที่สุด 

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทผันผวนในกรอบกว้าง แม้ว่าจะได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ท่ามกลางความหวังการเจรจาสันติภาพ แต่ทว่า ระหว่างวัน โดยเฉพาะในช่วงตลาดรอลุ้นและรับรู้ผลการประชุม กนง. เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ หาก กนง. มีมุมมองที่แย่ลงต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะหากมีการปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างมีนัยยะสำคัญ  

อย่างไรก็ดี เงินบาทยังติดแนวต้านสำคัญในโซน 33.75 บาทต่อดอลลาร์อยู่ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติได้ทยอยกลับเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันแรงขายบอนด์ระยะสั้นของนักลงทุนต่างชาติก็มีไม่มากนัก 

ทั้งนี้ เรามองว่า แนวรับของเงินบาทจอยู่ในช่วง 33.40-33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่บรรดาผู้นำเข้าต่างรอทยอยซื้อเงินดอลลาร์ รวมถึงบริษัทต่างชาติญี่ปุ่นอาจเข้ามาทำการแลกเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ในช่วงปิดปีงบประมาณของญี่ปุ่นมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.45-33.70 บาทต่อดอลลาร์

นอกจากนี้ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาดได้หนุนให้ ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +1.84% โดยผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคฯ โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ที่ผลประกอบการมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง หลังจากที่ราคาหุ้นเทคฯ ได้ปรับตัวลงแรงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ระดับราคาหุ้นเทคฯ ดูมีความน่าสนใจมากขึ้น

นอกจากนี้การปรับตัวขึ้นของหุ้นเทคฯ ยังช่วยหนุนให้ ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นราว +1.23% อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงานบ้าง ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายความกังวลปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ขณะเดียวกันปัญหาการระบาดของ COVID-19 ในจีนก็ยังกดดันภาพความต้องการใช้พลังงานในระยะสั้น 

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป พุ่งขึ้นกว่า +2.96% หนุนโดยความหวังการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาซื้อหุ้นกลุ่ม Cyclical อาทิ กลุ่มการเงิน ING +8.1%, BNP Paribas +6.4% รวมถึงกลุ่มยานยนต์ BMW +5.6%. Volkswagen +5.1% ทั้งนี้ เรามองว่า สถานการณ์สงคราม รวมถึงการเจรจาสันติภาพยังมีความไม่แน่นอนอยู่ นักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนในยุโรป

อย่างไรก็ดี ธีมการลงทุนระยะยาวที่มีลักษณะเป็น Mega Trend อาทิ การลงทุนในพลังงานทางเลือก(Renewable Energy) และธุรกิจ EV ก็ยังเป็นธีมการลงทุนที่น่าสนใจในฝั่งยุโรปที่นักลงทุนอาจใช้จังหวะที่หุ้นยุโรปในกลุ่มดังกล่าวปรับฐานลงมา ในการทยอยสะสมการลงทุนในธีมดังกล่าวได้

ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าภาวะตลาดเปิดรับความเสี่ยงจะหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯจะปรับตัวสูงขึ้นทะลุระดับ 2.50% ได้ในช่วงแรก แต่สุดท้ายความกังวลโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากสัญญาณ Inverted Yields Curve (บอนด์ยีลด์ระยะสั้น สูงกว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาว) ได้หนุนให้ผู้เล่นบางส่วนเลือกที่จะเพิ่มการถือครองบอนด์ระยะยาวมากขึ้น ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯย่อตัวลงสู่ระดับ 2.40%

อย่างไรก็ดี แม้ในระยะสั้นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯจะยังคงผันผวนและแกว่งตัวในกรอบ sideways แต่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ตามการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟด โดยเฉพาะในช่วงการประชุมเฟดเดือนพฤษภาคม ที่เราประเมินว่า อาจจะสามารถเห็นจุดสูงสุดของบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯในปีนี้ได้ 

ส่วนตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ตามบรรยากาศในตลาดการเงินในฝั่งสหรัฐฯ ที่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นและการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 98.38 จุด 

ทั้งนี้ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลง หลุดต่ำกว่าระดับแนวรับสำคัญแถว 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะสามารถรีบาวด์ขึ้น สู่ระดับ 1,917 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อีกครั้ง ตามแรงซื้อ buy on dip เพื่อหวังการรีบาวด์กลับสู่แนวต้านในระยะสั้น เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนในตลาดยังคงกังวลกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงคราม รวมถึงโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากสัญญาณ Inverted Yields Curve นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ 

สำหรับวันนี้ ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดจะรอติดตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเราประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% เพื่อประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ท่ามกลางทิศทางเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ ประเด็นที่ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจคือ การปรับประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจว่าจะมีการปรับประมาณการแย่ลงขนาดไหน ซึ่งเราคาดว่า อาจมีการปรับลดอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในปีนี้สู่ระดับ 3.0% สอดคล้องกับมุมมองของบรรดานักวิเคราะห์

พร้อมกับปรับเพิ่มค่าเฉลี่ยในเฟ้อในปีนี้สู่ระดับ 3.5%-4.0% ตามแนวโน้มเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และระดับฐานราคาสินค้าที่ต่ำในปีก่อนหน้า และที่สำคัญ ตลาดจะรอลุ้นว่าจะมีการปรับประมาณการ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึง ดุลบัญชีเดินสะพัดแย่ลงขนาดไหน เพราะการปรับคาดการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ก็อาจเป็นปัจจัยที่กดดันค่าเงินบาทในฝั่งอ่อนค่าได้

นอกจากนี้สถานการณ์สงครามและการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครนยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หลังจากที่ล่าสุดการเจรจาระหว่างสองฝ่ายมีความคืบหน้ามากขึ้น ทำให้ตลาดต่างคาดหวังว่าการเจรจาสันติภาพจะช่วยยุติสงครามได้ในที่สุด

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img