แบงก์เตรียมพร้อมรับดอกเบี้ยขาขึ้นปรับกลยุทธ์ปล่อยสินเชื่อ เลิกใช้นโยบายดอกเบี้ยคงที่นาน 3 ปี เหลือ 1-2 ปีแทนลดภาระต้นทุนสอดคล้องภาวะตลาด
นายณัฐพล ลือพร้อมชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยในไตรมาสแรกที่ผ่านมา คาดว่าขยายตัวไม่น้อยกว่า 5-10% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลมาจากสัญญาณการปรับขึ้นราคาบ้านในเดือน เม.ย. จากต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นทำให้มียอดการโอนล่วงหน้า หนุนยอดสินเชื่อ
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2 จากภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ราคาบ้านที่ปรับขึ้นอาจเป็นปัจจัยทำให้ตลาดชะงักชั่วคราวได้ ส่วนไตรมาส 3-4 อาจจะต้องดูปัจจัยสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนจะลากยาวหรือไม่ โดยมียอดสินเชื่อใหม่อยู่ที่ 6.4-6.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ 6.21 แสนล้านบาท แต่ปัจจัยที่ต้องตาม คือ ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าด้วย
สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปีจนถึงสิ้นปีนี้ และจะปรับขึ้นในปี 66 ดังนั้น แนวโน้มการล็อกดอกเบี้ยคงที่ไว้นานอาจจะไม่เหมาะสมเพราะเป็นต้นทุน จึงจะเห็นธนาคารปรับรูปแบบอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับตลาด โดยจะเห็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรกน้อยลง
นายเอกสิทธิ์ พฤฒิพลากร ผู้บริหารผลิตภัณฑ์ธุรกิจรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทยกล่าวว่า แม้ว่าบรรยากาศและกำลังซื้ออยู่ในช่วงฟื้นตัว แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง โดยทิศทางอัตราดอกเบี้ยอาจจะเริ่มเห็นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับขึ้นดอกเบี้ยช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ซึ่งจะมีผลต่อดอกเบี้ยขาขึ้น ดังนั้นแนวโน้มสินเชื่อบ้านอาจเห็นสถาบันการเงินให้สินเชื่อดอกเบี้ยคงที่เป็นเวลาที่สั้นลง เช่น จากเดิมคงที่ 3 ปี อาจจะเหลือแค่ 1-2 ปี หรือพิจารณาตามรายลูกค้า เพราะแนวโน้มดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นจะเป็นภาระต้นทุนให้ธนาคารเพิ่มขึ้น
ดังนั้น การแข่งขันในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย คาดว่าจะเห็นการเล่นแคมเปญอย่างอื่นมากกว่าการแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ย เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยถือว่าอยู่ในจุดต่ำสุดแล้ว สำหรับสินเชื่อบ้านของธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ในไตรมาส 1 ยอดสินเชื่อใหม่เติบโตกว่าเป้าหมาย 15% อยู่ที่ 5,800 ล้านบาท จากเป้าที่อยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งตั้งเป้าว่าสินเชื่อคงค้างในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 9.5 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 9.1 หมื่นล้านบาท
