หน้าแรกHighlightบาทอ่อนค่าเล็กน้อย-ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วง หลัง“ตัวเลขแรงงานสหรัฐฯ”แย่กว่าที่คาด

บาทอ่อนค่าเล็กน้อย-ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วง หลัง“ตัวเลขแรงงานสหรัฐฯ”แย่กว่าที่คาด

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” ตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากภาคเอกชนก็ออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด-1.12% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พลิกกลับมาดิ่งลง -1.90%

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.32-32.45 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการย่อตัวลงของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ยังคงไม่ได้แรงหนุนจากภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ในตลาดการเงิน โดยเฉพาะตลาดการเงินสหรัฐฯ ซึ่งเผชิญแรงเทขายหุ้นเทคฯ อีกครั้ง

ขณะเดียวกัน รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯจากภาคเอกชนก็ออกมาน่าผิดหวังและแย่กว่าคาด อาทิ ยอดการเลิกจ้างงาน (Challenger Job Cuts) ในเดือนตุลาคม พุ่งสูงขึ้นสู่ระดับ 153,074 ตำแหน่ง นับเป็นตัวเลขของเดือนตุลาคมที่สูงที่สุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยอดการจ้างงานโดย Revelio ซึ่งพยายามประเมินการจ้างงานให้ใกล้เคียงกับรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) จากทาง BLS (ที่ยังไม่มีการประกาศข้อมูลออกมา จนกว่าภาวะ US Government Shutdown จะสิ้นสุดลง) ก็ปรับตัว “ลดลง” 9,100 ราย ในเดือนตุลาคม (สวนทางกับยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ที่เพิ่มขึ้น 42,000 ราย)

โดยภาพการชะลอตัวลงของตลาดแรงงานสหรัฐฯดังกล่าว ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินโอกาสราว 70% ที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ย ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ และโอกาสราว 68% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีหน้า และการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดดังกล่าว ก็มีส่วนกดดันให้ เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการที่ผู้เล่นในตลาดเลือกถือสกุลเงินอื่น อย่างเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแทน และการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ทำให้เงินบาทชะลอการอ่อนค่าลงและเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้างในช่วงคืนที่ผ่านมา

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวลงแรงอีกครั้ง โดยเฉพาะบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง Nvidia -3.7% จากความกังวลต่อประเด็นมูลค่าของหุ้นธีม AI/Semiconductor ที่อยู่ในระดับสูง อีกทั้งรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากภาคเอกชนก็ออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.12% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พลิกกลับมาดิ่งลง -1.90%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.70% สอดคล้องกับแรงขายหุ้นกลุ่ม AI/Semiconductor ในฝั่งสหรัฐฯที่กลับมาอีกครั้ง จากความกังวลด้านมูลค่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวที่อาจสูงเกินไป นอกจากนี้ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันบ้าง จากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาผสมผสาน แต่โดยรวมหุ้นกลุ่ม Healthcare ที่ผลประกอบการสดใส ก็พอช่วยพยุงตลาดได้ อาทิ AstraZeneca +3.1%

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้นพบว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯพลิกกลับมาปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.10% หลังผู้เล่นในตลาดกลับมาปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาด สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯที่ชะลอตัวลงมากขึ้น

ขณะเดียวกัน บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯก็มีส่วนทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงเช่นกัน ทว่า ความไม่แน่นอนของการพิจารณาคดีมาตรการภาษี IEEPA ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีความกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯก็มีส่วนจำกัดการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯในช่วงนี้ เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯอาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด (ซึ่งเรายังคงมุมมองเดิมว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงต่อได้ จากภาพตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลงชัดเจน) ภาวะตลาดการเงินโดยรวม และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษี IEEPA ของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯสามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

ทางด้านตลาดค่าเงินนั้นพบว่า เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาด นอกจากนี้ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ยังไม่ได้หนุนเงินดอลลาร์มากนัก หลังผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเข้าถือเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแทน อีกทั้ง ประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ก็ยังคงกดดันเงินดอลลาร์อยู่ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่โซน 99.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.6-100.0 จุด)

ส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงิน จะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง อีกทั้ง เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯก็ปรับตัวลดลง ทว่า ผู้เล่นในตลาดกลับไม่ได้เลือกที่จะเข้าถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.2025) มีจังหวะย่อตัวลงทดสอบโซน 3,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง แต่ก็เป็นการปรับตัวขึ้นอย่างจำกัด เข้าใกล้โซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนพฤศจิกายน โดยเฉพาะในส่วนของรายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้นและระยะยาว (Inflation Expectations) ซึ่งจะออกมาในช่วงตลาดรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะ 1 ปีข้างหน้า โดยเฟดสาขานิวยอร์ก ด้วยเช่นกัน

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ของจีน ในเดือนตุลาคม เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

ทั้งนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงพัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown และเริ่มมีการไต่สวนคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court)

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เริ่มมีโอกาสทยอยแข็งค่ามากขึ้นได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทอาจเริ่มมีกำลังมากขึ้น หลังมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด เริ่มเปลี่ยนไปจากช่วงก่อนหน้า จากรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ล่าสุด (ซึ่งยังคงไม่ใช่ข้อมูลจากทางการสหรัฐฯ) สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯที่ชะลอตัวลงมากขึ้น กดดันให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง ซึ่งหากผู้เล่นในตลาดมั่นใจมากขึ้นว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อได้ไม่ยาก ก็อาจยิ่งกดดันเงินดอลลาร์เพิ่มเติม ผ่านการปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์

หลังช่วงก่อนหน้าที่เงินดอลลาร์ได้ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จนดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) มีจังหวะปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้านสำคัญ 100 จุดนั้น ผู้เล่นในตลาดได้มีสถานะ Net Long USD (มองเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น) จากที่มีสถานะ Net Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง) มาโดยตลอด

อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-way Risk สามารถผันผวนได้ทั้งสองทิศทาง ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด บรรยากาศในตลาดการเงิน รวมถึงการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ที่ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ศาลฯอาจมีแนวโน้มเพิกถอนมาตรการภาษีนำเข้าจากกฎหมาย IEEPA ซึ่งทำให้ความกังวลเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งและกดดันเงินดอลลาร์

นอกจากนี้ราคาทองคำก็ยังอยู่ในช่วงปรับฐาน ทำให้ในบางจังหวะที่ราคาทองคำย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับก่อนหน้า ก็อาจมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำเข้ามาบ้าง กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง อีกทั้งในช่วงนี้ เราพบว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดทั้งฝั่งผู้นำเข้า หรือผู้เล่นในตลาดพลังงาน ต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ รวมถึงซื้อน้ำมันดิบ ในช่วงตลาดย่อตัวลง ทำให้การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด และอาจติดโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อนได้

ขณะที่หากเงินบาท ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ไม่ว่าจะมาจากการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หรือการปรับตัวลงอีกครั้งของราคาทองคำ เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ดูจะถูกจำกัดไว้แถวโซนแนวต้านแรก 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีแนวต้านถัดไปในช่วง 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ตามการรอทยอยขายเงินดอลลาร์ของฝั่งผู้ส่งออก และการปรับสถานะถือครอง อย่างสถานะ Long USDTHB หรือ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ และประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.55 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisement -spot_imgspot_img

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img