ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดเปิดประเทศเต็มรูปแบบ 1 พ.ค. หนุนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเที่ยวไทย 4 ล้านคน เงินสะพัด 2.4 แสนล้านบาท จับตาสงครามรัสเซีย-ยูเครนหากยืดเยื้อกระทบต่อนักท่องเที่ยวยุโรป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า วันที่ 1 พ.ค. 65 ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ผ่อนคลายเงื่อนไขการเดินทางเข้าประเทศของชาวต่างชาติ โดยยกเลิก Test & Go และปรับลดวงเงินประกัน รวมถึงการเปิดการเดินทางทางบก (จุดผ่านแดนถาวร) จะเป็นการช่วยหนุนความต่อเนื่องในการฟื้นตัวของตลาดต่างชาติเที่ยวไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ อย่างไรก็ดี การเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ยังมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนสูง ซึ่งภาคธุรกิจคงต้องมีแผนรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
จากปัจจัยดังกล่าวคาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะค่อยๆ เร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 65 เนื่องจากจะเข้าสู่ฤดูกาลการเดินทางท่องเที่ยว ของนักท่องเที่ยวจากหลายชาติ อาทิ ในช่วงไตรมาส 3 ของทุกปี (ประมาณเดือน ก.ค. และ ส.ค.) จะเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวภูมิภาคตะวันออกกลาง อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และอาเซียน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อนและเป็นช่วงปิดภาคเรียน ขณะที่ไตรมาส 4 จะเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรป อเมริกา และโอเชียเนีย
สำหรับมุมมองต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 65 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังมีมุมมองที่ระมัดระวัง เนื่องจากตลาดยังมีหลายปัจจัยท้าทาย ที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และการตัดสินใจเดินทางยังต่างประเทศของนักท่องเที่ยวได้ อาทิ
– การดำเนินนโยบายการเดินทางต่างประเทศของประเทศต้นทาง เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด เช่น นโยบายปลอดโควิด (Zero COVID Policy) ของจีน ซึ่งหากจีนยังไม่ปรับเปลี่ยนการใช้นโยบายดังกล่าว ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวจีนน่าจะยังไม่สามารถเดินทางมาไทยได้อย่างปกติในปีนี้
– เหตุการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียโดยหลายประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวรัสเซียเที่ยวไทย อย่างไรก็ตาม หากเหตุการณ์ไม่ได้รุนแรงขึ้นจากสถานการณ์ปัจจุบัน จนกระทบการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรป ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ก็น่าจะเห็นการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวยุโรปเที่ยวไทยโดยรวมที่มากขึ้นจากปีก่อน
– ปัญหาราคาพลังงาน และเงินเฟ้อทั่วโลก ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศปรับเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้จากปัจจัยดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยสำหรับทั้งปี 65 อาจอยู่ที่ 4 ล้านคน หรือคิดเป็นรายได้การท่องเที่ยวเป็นมูลค่าประมาณ 2.4 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนไม่รุนแรง มองว่า นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรปยังเป็นตลาดที่สำคัญของการท่องเที่ยวไทยในปีนี้ โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากยุโรป เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยประมาณ 1.8 ล้านคน ขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกน่าจะมีจำนวน 1.7 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวจากทั้ง 2 ภูมิภาคคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 86% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยทั้งหมดในปีนี้
“หากแรงหนุนการเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยของชาวต่างชาติ ปรากฏสัญญาณที่บวกมากขึ้นอย่างชัดเจน ก็มีโอกาสที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปีนี้จะมากกว่าที่คาด ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย จะทบทวนประมาณการอีกครั้งในช่วงกลางปีนี้ต่อไป”
อย่างไรก็ดี แม้ทางการได้ผ่อนคลายเงื่อนไขการเดินทางเข้าประเทศของชาวต่างชาติ แต่ผู้ประกอบการยังมีโจทย์ทางธุรกิจหลังการเปิดประเทศที่ต้องคิด ซึ่งนอกจากปัจจัยด้านตลาด ที่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวต้องเผชิญแล้ว เทรนด์การเดินทางท่องเที่ยวหลังโควิดมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน อาทิ
– รูปแบบการเดินทางของนักท่องเที่ยว โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระ ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวแบบเดินทางเป็นกรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่ยังไม่มาก และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มขนาดเล็ก
– กลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เคยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทย (กลุ่ม Revisit) และส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Young Traveler ส่วนกลุ่มนักท่องเที่ยวสูงอายุ และกลุ่มครอบครัวยังมีไม่มาก เนื่องจากยังมีความกังวลในเรื่องของโควิด และเป็นกลุ่มที่มีงบประมาณจำกัดในการเดินทางท่องเที่ยว
– วัตถุประสงค์การเดินทางท่องเที่ยวมีหลากหลาย ทั้งการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน (Leisure Travel) หรือการเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานในสถานที่ท่องเที่ยว (Workcations) ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะมีระยะเวลาการพำนักอาศัยในไทยยาวนานขึ้น
– การเลือกจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ ความปลอดภัยจากโควิด และสร้างประสบการณ์ระหว่างการท่องเที่ยว สำหรับการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวนั้น นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความปลอดภัยจากการระบาดของโควิด มองหาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ไม่แออัด หรือหนาแน่นไปด้วยผู้คน แหล่งท่องเที่ยวชุมชน/วัฒนธรรม ที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างการท่องเที่ยว (Local Experience)
ทั้งนี้ เทรนด์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น มีผลต่อการทำตลาดของผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว อาทิ การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และแคมเปญกระตุ้นตลาด ด้วยการจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับกลุ่มลูกค้าที่เคยใช้บริการ การปรับผลิตภัณฑ์และบริการท่องเที่ยว ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการในแต่ละกลุ่มเป้าหมายได้ลงตัว เช่น การผสมผสานวัฒนธรรมไทย การให้นักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมในกิจกรรมท่องเที่ยวที่จัดขึ้น และการบริการท่องเที่ยว ยังต้องรักษามาตรฐานความปลอดภัยจากโควิด เนื่องจากสถานการณ์การระบาดยังไม่คลี่คลาย ส่งผลให้การบริหารจัดการที่พัก หรือบริการที่เหมาะสมควรมีระยะห่างและไม่แออัดเกินไป
นอกจากนี้ ผู้ที่มีส่วนร่วมในแหล่งท่องเที่ยว คงต้องร่วมมือกันในการดูแลสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ การดูแลปริมาณขยะในสถานที่ท่องเที่ยว การปรับผลิตภัณฑ์หันมาใช้วัสดุธรรมชาติหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น การปรับใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งนอกจากจะช่วยกระจายรายได้ในท้องถิ่น และลดรายจ่ายของภาคธุรกิจในระยะยาว ยังเป็นจุดขายในการทำตลาด ที่สอดรับไปกับเทรนด์การท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainable Tourism)