“สหพันธ์การขนส่งทางบกฯ” ประกาศขึ้นค่าขนส่ง 20% หลังรัฐทยอยปรับขึ้นดีเซลครบ 35 บาทต่อลิตรในเดือนพ.ค.นี้ ขณะที่ราคาสินค้าเตรียมปรับราคา 5-10%
นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่สหพันธ์ฯ ได้ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไปแล้ว เพื่อขอให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลงมาอยู่ที่ 25 บาทต่อลิตร จากการดำเนินงานตามมาตรการต่างๆ ที่เสนอไปแล้วนั้น หากวันที่ 1 พ.ค. รัฐบาลปรับราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นอีก 2 บาทต่อลิตร เป็น 32 บาทต่อลิตร และจะทยอยขึ้นจนครบ 35 บาทต่อลิตร ภายในเดือนพฤษภาคม
สหพันธ์ฯ ก็มีความจำเป็นต้องส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้ประกอบการหรือภาคเอกชนในการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นราว 20% หรือน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นทุกๆ 1 บาทต่อลิตร จะมีผลต่อการปรับค่าขนส่ง 3% ซึ่งจะมีผลต่อราคาสินค้าอุปโภค บริโภคสูงขึ้นตามไปด้วย
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หากมีการปรับค่าขนส่งเพิ่มขึ้น 15-20% จะส่งผลให้ต้นทุนค่าขนส่ง/โลจิสติกส์ ของผู้ประกอบการภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 2.25-3% จะส่งผลให้ราคาขายสินค้าต้องปรับขึ้นอีก 5-10% และตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ที่รัสเซียบุกยูเครน ส่งผลให้ราคาสินค้าวัตถุดิบทุกอย่างปรับตัวสูงขึ้นมาก และสต๊อกวัตถุดิบที่มีอยู่เริ่มร่อยหรอลงอย่างรวดเร็วกว่ากำหนด อาจมีผลิตได้ไม่ถึง 3 เดือน จำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบมาสต๊อกในรอบใหม่ที่มีต้นทุนสูงขึ้นอีก ก็จะส่งผลต่อการปรับราคาสินค้าแน่นอน
ทั้งนี้วันที่ 20 พฤษภาคม จะครบกำหนดมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 3 บาท หากรัฐบาลไม่ขยายระยะเวลาออกไปจะทำให้ประชาชนแบกรับภาระด้านพลังงานหนักเกินไป เพราะจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลขยับขึ้นมาเป็น 38 บาทต่อลิตร และหากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอีกต่อเนื่อง โอกาสที่ราคาดีเซลจะขึ้นไปแตะที่ลิตรละ 40 บาทได้
นอกจากนี้ก๊าซหุงต้มเดือนพ.ค.จะปรับเพิ่มขึ้นอีก 15 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม และค่าไฟฟ้ารอบเดือน พ.ค.-ส.ค.ก็จะปรับเพิ่มขึ้นตามค่า Ft ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ต่อหน่วย เป็น 4.00 บาท ทำให้ประชาชนมีภาระเพิ่มขึ้น และราคาสินค้า เงินเฟ้อ และต้นทุนผู้ประกอบการก็จะสูงขึ้นอีก ซึ่งล่าสุดบะหมี่มาม่าเตรียมปรับขึ้นราคาขายส่งอีกซองละ 0.50-1.00 บาทจากราคาวัตถุดิบแป้งสาลี น้ำมันปาล์ม และค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
ดังนั้น การลดค่าครองชีพให้กับประชาชน รัฐบาลควรเร่งหามาตรการต่างๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่ง เพราะเวลานี้ในภาวะการณ์ไม่ปกติ ยังมีเงินเหลือที่รัฐบาลกู้มาประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
