รัฐบาลโชว์ตัวเลขเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง สี่เดือนแรกรวม 3.6 หมื่นล้าน อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงเนื้อหอม
เมื่อวันที่ 22 พ.ค.65 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ภายใต้การขับเคลื่อนการส่งเสริมการลงทุนจากบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะบริษัทที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูง มีนวัตกรรม เพื่อให้ประเทศไทยได้ประโยชน์จากการถ่ายโอนองค์ความรู้ เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญ บุคลากร และนวัตกรรมในประเทศ ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดเงื่อนไขการลงทุนเพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ มุ่งสู่เป้าหมายให้ประเทศเป็นศูนย์กลางของการลงทุนในภูมิภาค โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ตัวเลขนักลงทุนต่างชาติขออนุญาตประกอบธุรกิจมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เม็ดเงินลงทุนของสี่เดือนแรกปี 2565 จำนวนรวม 3.6 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ได้อนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจ ในเดือนเมษายน ที่ผ่านมา จำนวน 50 ราย คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนรวม 9,997 ล้านบาท เดือนมีนาคม จำนวน 53 ราย มีเม็ดเงินลงทุนรวม 10,838 ล้านบาท เดือนกุมภาพันธ์ จำนวน จำนวน 44 ราย เม็ดเงินลงทุนรวม 5,781 ล้านบาท และเดือนมกราคม จำนวน 49 ราย เงินลงทุนทั้งสิ้น 9,767 ล้านบาท
ซึ่งธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve) อาทิ บริการให้ใช้แพลตฟอร์มแอปพลิเคชั่นสำหรับการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า บริการขุดเจาะปิโตรเลียม บริการตรวจสอบ ซ่อมแซม และบำรุงรักษาสินค้าประเภทเครื่องมือแพทย์ บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Electric Vehicle Charging Station) สำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า บริการรับจ้างผลิตและประกอบรถยนต์ เป็นต้น
น.ส.รัชดา กล่าวต่อว่า เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ถึงสิทธิพิเศษการลงทุนและศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตของประเทศ รวมถึงการเข้าถึงกลุ่มนักลงทุนให้มากขึ้น บีโอไอได้เตรียมแผนโรดโชว์ในต่างประเทศ อาทิ ยุโรป สหรัฐ เกาหลีใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่เข้ามาขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงสุดในปี 2564 และในโอกาสที่กระทรวงพาณิชย์ เป็นเจ้าภาพจัดประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ระหว่างวันที่ 19-22 พ.ค. นี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเสริมสร้างบรรยากาศเพื่อดึงดูดการลงทุนอีกด้วย
ซึ่งการลงทุนของเอกชนทั้งไทยและต่างชาติเป็นเครื่องยนต์สำคัญของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง การส่งออกที่ขยายตัวอย่างมาก จึงจะส่งผลให้เศรษฐกิจในภาพรวมปีนี้เติบโต 2.5-3.5% แม้จะยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากความผันผวนเศรษฐกิจโลก และความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19