วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 28, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightดอลลาร์อ่อน-หนุนบาทแข็ง ทุบสถิติใหม่รอบ 1 เดือน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ดอลลาร์อ่อน-หนุนบาทแข็ง ทุบสถิติใหม่รอบ 1 เดือน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.09 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าในรอบ 1 เดือน หลังเงินดอลลาร์ถูกกดดันจากการเปิดรับความเสี่ยงของตลาด-ท่าทีเฟดไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.09 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 34.18 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นการแข็งค่าในรอบ 1 เดือน  โดยแนวโน้มของค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าทดสอบแนวรับโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ หากตลาดเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง ทว่าเงินบาทจะไม่แข็งค่าไปมาก เนื่องจากผู้นำเข้าต่างรอทยอยซื้อเงินดอลลาร์ใกล้แนวรับดังกล่าวนอกจากนี้ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจชะลอการไหลเข้าสู่สินทรัพย์ไทย จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาหนุน

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เราประเมินว่า เงินดอลลาร์อาจถูกกดดันจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดและท่าทีของเฟดที่อาจไม่ได้เร่งรีบขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนี้ หากบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB ต่างส่งสัญญาณสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยก็อาจยิ่งกดดันเงินดอลลาร์ได้ ผ่านการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR)

ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ทั้งความเสี่ยงสงคราม ปัญหาการระบาดของโอมิครอนในจีน และความกังวลเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินเฟด เราแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 34.00-34.40 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.00-34.20บาทต่อดอลลาร์   

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความหวังว่าเฟดอาจไม่สามารถเร่งขึ้นดอกเบี้ยไปได้มาก อย่างที่ตลาดเคยกังวลไว้

ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ตลาดจะรอติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนี PMI และยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม นอกจากนี้ ตลาดจะจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB)

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้ฝั่งสหรัฐฯ ตลาดมองว่าภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังคงฟื้นตัวได้ดีอยู่ แม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น สะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและการบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤษภาคมที่อาจลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 55 จุด และ 56.9 จุด ตามลำดับ (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) 

นอกจากนี้ ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งอยู่ โดยยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนพฤษภาคม จะเพิ่มขึ้นราว 3.3 แสนราย ทำให้อัตราการว่างงานปรับลดลงเหลือ 3.5% ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจโดยเฟดสาขาต่างๆ หรือ Fed Beige Book เพื่อช่วยประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ 

โดยรายงานอาจยังคงระบุแนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจ ทว่าภาคธุรกิจอาจมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจมากขึ้นจากปัญหาเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ ตลาดจะจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมิน ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายเฟด โดยเฉพาะมุมมองของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมถึงโอกาสที่เฟดอาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หลังเฟดพร้อมเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.50% สองครั้ง

ขณะที่ยุโรป ตลาดคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ของยูโรโซนในเดือนพฤษภาคม อาจเร่งตัวขึ้นแตะระดับ 7.7% จากระดับราคาอาหารและพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนอย่างมาก ซึ่งปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจะหนุนโอกาสธนาคารกลางยุโรป (ECB) ทยอยขึ้นดอกเบี้ยได้ในปีนี้ 

ซึ่งผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า ECB อาจทยอยขึ้นดอกเบี้ย จนอัตราดอกเบี้ยไม่ติดลบได้ภายในไตรมาสที่ 3 ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB ในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB 

นอกจากนี้ ตลาดจะรอประเมินภาพรวมเศรษฐกิจยุโรป ผ่านยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนเมษายน โดยคาดว่ายอดค้าปลีกอาจขยายตัวเล็กน้อย +0.1% จากเดือนก่อนหน้า หลังผู้บริโภคเผชิญแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อสูงมากขึ้น และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ตลาดจะรอติดตามความคืบหน้าของการประชุมสหภาพยุโรป เพื่อหาข้อสรุปมาตรการคว่ำบาตรพลังงานจากรัสเซีย โดยหากสหภาพยุโรปประกาศคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ต้องติดตามต่อว่า รัสเซียจะตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวอย่างไร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าพลังงานได้  

ด้านเอเชียตลาดประเมินว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศญี่ปุ่นมีแนวโน้มคึกคักมากขึ้นตามการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ทำให้ยอดค้าปลีกเดือนเมษายนขยายตัวได้ราว 0.9% จากเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ภาพการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะสะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนพฤษภาคมที่อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 33.8 จุด

ส่วนในฝั่งจีน ตลาดมองว่า ทั้งภาคการผลิตและภาคการบริการมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องในเดือนพฤษภาคม โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการยังคงอยู่ที่ระดับ 48 จุด และ 45 จุด ตามลำดับ (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว)

อย่างไรก็ดี ภาคการผลิตและการบริการของจีนมีแนวโน้มพลิกกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น หลังสถานการณ์การระบาดของโอมิครอนดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ทางการจีนอาจทยอยผ่อนคลายหรือยุติมาตรการ Lockdown ได้ในเดือนมิถุนายน อีกทั้งทางการจีนและธนาคารกลางจีน (PBOC) ก็ได้ทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม รวมถึงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น

ฝั่งไทยภาคการผลิตอุตสาหกรรมอาจขยายตัวในอัตราชะลอลงจากผลกระทบของนโยบาย Zero COVID ในจีนรวมถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตในเดือนพฤษภาคมอาจลดลงสู่ระดับ 51.5 จุด เช่นเดียวกันกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) ก็มีแนวโน้มปรับตัวลดลงสู่ระดับ 47.5 จุด สะท้อนความกังวลของภาคธุรกิจท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อสูงและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่อาจกระทบเศรษฐกิจไทยได้

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img