มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยคาดเทศกาลวันแม่แห่งชาติเงินสะพัด 10,883 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปีนับจากปี 55 หลังเปิดประเทศเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว นิยมให้เงินสด-ทองคำเป็นของขวัญวันแม่
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจ “ทัศนคติและพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงวันแม่ ปี 2565” ซึ่งดำเนินการสำรวจระหว่างวันที่ 28 ก.ค.- 2 ส.ค.65 จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 1,288 คนทั่วประเทศ พบว่า เงินสะพัด 10,883 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปี 63 (ปี 64 ไม่ได้ทำการสำรวจ เนื่องจากมีสถานการณ์โควิด) ถือว่าเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 ปีนับตั้งแต่ปี 55 ซึ่งทำให้เห็นว่านับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิดในประเทศเมื่อปี 63 จนถึงปัจจุบันนี้ ประชาชนมองว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น จึงทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้นในช่วงวันแม่ที่จะถึงนี้
โดยเม็ดเงินดังกล่าว แบ่งเป็นการใช้จ่ายในกิจกรรมต่างๆ 10,012 ล้านบาท และการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว 870 ล้านบาท นอกจากนี้คนส่วนใหญ่ 40.2% ระบุว่า ให้งบประมาณการใช้จ่ายในช่วงวันแม่ปีนี้เพิ่มขึ้น เพราะเป็นวันพิเศษ, มีรายได้เพิ่มขึ้น และคาดว่าเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น ขณะที่ 36.5% ให้งบประมาณการใช้จ่ายลดลง เพราะต้องประหยัดมากขึ้น, มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น, เศรษฐกิจยังไม่ดี, มีหนี้มาก และรายได้ลดลง เป็นต้น
สำหรับกิจกรรมที่จะทำในวันแม่ปีนี้มากที่สุด คือ พาแม่ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน รองลงมา คือ พาแม่ไปทำบุญ และทำอาหารรับประทานกันเองที่บ้าน ส่วนของขวัญที่จะให้ในวันแม่ปีนี้ อันดับแรก คือ เงิน/ทอง รองลงมา คือ พวงมาลัย/ดอกไม้ และเครื่องดื่มบำรุงร่างกาย
ส่วนการวางแผนพาแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัดนั้น ส่วนใหญ่ 91.1% ตอบว่าไม่ไป มีเพียง 8.9% ที่ตอบว่าไป ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาเดินทาง 2-3 วัน ในช่วงวันหยุดระหว่างวันที่ 12-14 ส.ค.นี้
ทั้งนี้ มองว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวแบบอ่อนๆ จากผลพวงของภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามา ภายหลังการเปิดประเทศ ขณะที่การส่งออกยังสามารถเติบโตได้ดี ส่งผลให้เศรษฐกิจในเมืองใหญ่ๆ ที่ได้รับอานิสงส์จากปัจจัยเหล่านี้เริ่มฟื้นตัวได้ แต่ยังเป็นการฟื้นตัวแบบเปราะบาง ซึ่งทำให้รัฐบาลยังจำเป็นต้องมีมาตรการดูแลช่วยเหลือประชาชนในเรื่องค่าครองชีพ และราคาพลังงาน