วันศุกร์, พฤศจิกายน 29, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWSเงินบาทแข็งหลังดอลลาร์อ่อน ระวังจีนล็อกดาวน์สกัดโควิด
- Advertisment -spot_imgspot_img

เงินบาทแข็งหลังดอลลาร์อ่อน ระวังจีนล็อกดาวน์สกัดโควิด

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 35.56 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่าหลังดอลลาร์อ่อน จากเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือนก.ค.ต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ คลายกังวลเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนก.ย.นี้ ระวัง! จีนล็อกดาวน์สกัดโควิด

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย ปิดเผยว่า ค่าเงินบาท  เปิดเช้านี้ที่ระดับ 35.35 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” นิวไฮครั้งใหม่รอบเกือบ 6 สัปดาห์ จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.56 บาทต่อดอลลาร์ โดยโน้มผันผวนและแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดที่หนุนการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนจากโฟลว์ซื้อหุ้นของนักลงทุนต่างชาติเช่นกัน

อย่างไรก็ดี เเงินบาทอาจไม่ได้แข็งค่าไปมากหลุดโซนแนวรับแถว 35.20 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากระดับดังกล่าวเริ่มเห็นบรรดาผู้นำเข้าทยอยเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์มากขึ้น ส่วนนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาเก็งกำไรเงินบาทแข็งค่าในช่วงก่อนหน้า ก็เริ่มที่จะเข้ามาขายทำกำไรสถานะเก็งกำไรดังกล่าว 

นอกจากนี้ ควรระมัดระวังความผันผวนที่อาจเพิ่มสูงขึ้นในฝั่งสินทรัพย์ EM Asia และอาจเป็นแรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้ หลังจากที่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มกลับมากังวลปัญหาการระบาดของ COVID-19 ในจีนที่เริ่มส่งผลให้มีการทยอยใช้มาตรการ Lockdown ในบางพื้นที่ 

ซึ่งภาพดังกล่าวได้กดดันให้ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงปรับตัวลงหนักในวันก่อนหน้า ส่วนเงินหยวน (CNY) ของจีนก็ปรับตัวอ่อนค่าลงบ้างเช่นกัน  มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.20-35.45 บาท/ดอลลาร์

ผู้เล่นในตลาดกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (Risk-On) หลังจากที่เงินเฟ้อทั่วไป CPI ของสหรัฐฯ รวมถึงเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75% อย่างต่อเนื่องเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ (ล่าสุดจาก CME FedWatch Tool ตลาดประเมินโอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ราว 43% ลดลงจาก 68% ในวันก่อนหน้า) 

ซึ่งมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้หนุนการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth นำโดย Amazon +3.5%, Apple +2.6%, Alphabet (Google) +2.6% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้นกว่า +2.89% ส่วนดัชนี S&P500 ก็ปิดตลาดกว่า +2.13%

ส่วนยุโรป ดัชนี STOXX600 ก็พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นกว่า +0.89% นำโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth เช่นเดียวกับในฝั่งสหรัฐฯ อาทิ Adyen +3.7%, ASML +2.6%, Hermes +2.4% อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปถูกกดดันโดยความผันผวนของราคาน้ำมันที่ส่งผลให้ หุ้นกลุ่มพลังงานต่างปรับตัวลดลง Equinor -2.8%, TotalEnergies -0.6%

ทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะปรับลดความคาดหวังการเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ของเฟดลดลง ทว่าอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงจะยังคงหนุนโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอยู่ ซึ่งแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ผันผวนและแกว่งตัวใกล้ระดับ 2.79%

ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า จุดสูงสุดของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯนั้นได้ผ่านไปแล้วที่ระดับราว 3.50% โดยเรามองว่าแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ (รวมถึงความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว) และปัญหาการเมืองสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีจากการเลือกตั้งกลางเทอมจะเป็นปัจจัยหนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเพิ่มสถานะการถือครองพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2.70% ได้ในช่วงสิ้นปี

ขณะที่ตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ได้ปรับตัวลดลงกว่า -0.9% สู่ระดับ 105.2 จุด ตามมุมมองของตลาดที่ปรับลดโอกาสเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75% นอกจากนี้ผู้เล่นบางส่วนยังได้ลดการถือครองเงินดอลลาร์ลงบ้าง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด

อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงแรก จะช่วยหนุนให้ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้านระดับ 1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทว่า ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดกลับส่งผลให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรออกมา กดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลงและแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,807 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงการซื้อ ขาย เมื่อคืนที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ต้องจับตา คือ รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) โดยตลาดประเมินว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนสิงหาคม อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52.5 จุด ตามภาระค่าใช้จ่ายที่ลดลง หลังราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวลดลง อย่างไรก็ดี แนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของการจ้างงาน อาจกดดันความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตได้ 

พร้อมกันนี้ ตลาดจะรอลุ้น รายงานเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลาง (U of Michigan 5-yr Inflation Expectations) โดยหากเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานปลาง ทรงตัว หรือ ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 2.9% ที่รายงานก่อนหน้า ก็จะทำให้ตลาดยิ่งมองว่า ความกังวลต่อปัญหาเงินเฟ้อของเฟดอาจลดลง และเฟดอาจไม่จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75% อย่างต่อเนื่อง

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img