วันศุกร์, พฤศจิกายน 29, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯดีเกินคาด กดบาทอ่อน
- Advertisment -spot_imgspot_img

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯดีเกินคาด กดบาทอ่อน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 36.43 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่า หลังดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค-ยอดตำแหน่งงานเปิดรับดีกว่าคาด ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วงแรงรับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบดิ่งกังวลเศรษฐกิจถดถอย

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย ปิดเผยว่า ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.43 บาทต่อดอลลาร์จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.38 บาทต่อดอลลาร์ โดยแนวโน้มผันผวนในกรอบกว้างและยังมีความเสี่ยงที่จะอ่อนค่าลงได้บ้าง หากเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้น 

อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจยังไม่อ่อนค่าทะลุแนวต้านสำคัญแถว 36.50 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ไกล (อนึ่ง หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าว แนวต้านถัดไปจะอยู่ในช่วง 36.75 บาทต่อดอลลาร์) เนื่องจากบรรดาผู้ส่งออกอาจรอขายเงินดอลลาร์ในโซนแนวต้านดังกล่าว อีกทั้ง ภาวะปิดรับความเสี่ยงในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ก็ไม่ได้กดดันให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยรุนแรง กลับกัน เรายังคงเห็นการทยอยซื้อสุทธิหุ้นไทยในจังหวะย่อตัวอยู่

อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนของเงินบาทในวันนี้ เนื่องจากมีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญหลายอย่าง เริ่มจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีน ซึ่งหากออกมาแย่กว่าคาดไปมาก ก็อาจสร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์ฝั่ง EM Asia หรือกดดันให้สกุลเงินฝั่ง EM Asia อ่อนค่า ตามเงินหยวนของจีนได้ ส่วนในช่วงตลาดรับรู้เงินเฟ้อของยูโรโซน เงินบาทก็อาจผันผวนตามเงินดอลลาร์ ที่อาจเผชิญแรงกดดันจากเงินยูโรได้ หากผู้เล่นในตลาดเริ่มมั่นใจแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ ECB

อนึ่งในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงและมีหลายปัจจัยที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะแนวโน้มนโยบายการเงินเฟด เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.30-36.55 บาท/ดอลลาร์

รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) รวมถึงยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTs Job Openings) ต่างออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ กังวลแนวโน้มเฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยและยังคงเดินหน้าขายสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยงที่อ่อนไหวต่อการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ย/บอนด์ยีลด์ อย่าง หุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth (Tesla -2.5%, Apple -1.5%) 

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงแรงของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Exxon Mobil -3.8%, Chevron -2.4%) หลังราคาน้ำมันดิบดิ่งลงหนักจากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลักชะลอตัวลง หากบรรดาธนาคารกลางต่างเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงความกังวลแนวโน้มการกลับมาผลิตและส่งออกน้ำมันจากฝั่งอิหร่านและเวเนซุเอลา ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -1.12% ส่วนดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ปิดตลาด -1.10%

ส่วนยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องกว่า -0.67% ท่ามกลางแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวลงหนักและเสี่ยงที่จะเข้าสู่สภาวะถดถอยที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน (TotalEnergies -3.6%) 

ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มเทคฯ (ASML -2.6%) หลังอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของเศรษฐกิจหลักในยุโรป อาทิ เยอรมนีและสเปนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยราว 0.75% ได้ในการประชุมเดือนกันยายน เพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อ

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 108.75 จุด หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า เฟดอาจจำเป็นต้องเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ย 

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในจังหวะที่ตลาดการเงินอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ถูกชะลอลงด้วยการกลับมาแข็งค่าขึ้นเหนือระดับ 1.00 ดอลลาร์ ของเงินยูโร (EUR) หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ECB อาจเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง ทั้งนี้ แม้ตลาดจะปิดรับความเสี่ยง แต่แนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ยังคงกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1,735 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งอาจเป็นโซนแนวรับที่ผู้เล่นบางส่วนจะเริ่มกลับมาซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวได้

สำหรับวันนี้ตลาดจะรอติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Official Manufacturing & Non-Manufacturing PMIs) ในเดือนสิงหาคม 

โดยตลาดประเมินว่า สารพัดปัญหาที่รุมเร้าการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน อาทิ ปัญหาหนี้ภาคอสังหาฯ วิกฤติภัยแล้ง รวมถึงการระบาดของ COVID-19 จะกดดันให้ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของจีนอาจหดตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนี PMI ภาคการผลิตในเดือนสิงหาคมที่จะลดลงสู่ระดับ 48.6 จุด ส่วนภาคการบริการก็อาจขยายตัวในอัตราชะลอลง หลังการระบาดของ COVID-19 นั้นเกิดขึ้นในหลายเมืองท่องเที่ยว โดยดัชนี PMI ภาคการบริการอาจลดลงสู่ระดับ 52.6 จุด

ส่วนยุโรป ตลาดมองว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI ของยูโรโซนอาจพุ่งขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 9.0% ในเดือนสิงหาคม และอาจทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกันยายนได้

และในฝั่งสหรัฐฯ ตลาดจะรอจับตาแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ซึ่งมักเคลื่อนไหวสอดคล้องกับ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ โดยหากยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2 แสนรายไปมาก อาจยิ่งทำให้ตลาดมั่นใจการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ตามภาพตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง

นอกจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯและทิศทางนโยบายการเงินของเฟด

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img