กระทรวงพลังงานออกโรงชี้แจงโรงไฟฟ้าชุมชนล่าช้า อยู่ขั้นตอนพิจารณารายละเอียดอย่างรอบคอบ หวังโครงการสร้างรายได้วิสาหกิจชุมชนและเกษตรกรในระยะยาว 20 ปีมูลค่า 33,800 ล้านบาท ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 28,000 ล้านบาท
นายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กรณีที่มีประเด็นการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเป็นการขายฝันว่า โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนฯ เป็นโครงการซึ่งเป็นระยะนำร่องที่ร่วมกันหลายภาคส่วน โดยภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้า
ส่วนวิสาหกิจชุมชนจะเป็นผู้รวบรวมเชื้อเพลิง จากเกษตรกรที่ปลูกพืชพลังงานส่งให้กับโรงไฟฟ้าในรูปแบบ Contract Farming ซึ่งสัดส่วนการถือหุ้นของวิสาหกิจชุมชน 10 % นั้นเป็นสัดส่วนในโครงการนำร่อง เนื่องจากเป็นการดำเนินการโรงไฟฟ้าที่ต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและเงินลงทุนค่อนข้างสูง
ทั้งนี้เห็นว่าหากให้วิสาหกิจชุมชนเป็นเจ้าของเองจะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก จึงต้องค่อยเป็นค่อยไปโดยในระยะเริ่มแรกให้วิสาหกิจถือหุ้นในสัดส่วนนี้ไปก่อน แต่หากชุมชนมีความพร้อมในอนาคตสามารถถือหุ้นเพิ่มเติมตามความตกลงระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยมิได้เป็นข้อจำกัดแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ภายใต้รูปแบบการบริหารของโรงไฟฟ้าชุมชน วิสาหกิจฯ จะมีรายได้แน่นอนสม่ำทุกวัน และเกษตรกรมีรายได้จากการขายเชื้อเพลิงพืชพลังงานให้โรงไฟฟ้าในสัดส่วน 80% ของปริมาณเชื้อเพลิงที่โรงไฟฟ้าใช้ทั้งหมด อีกทั้งยังจะมีรายได้หรือผลประโยชน์เพิ่มเติมอื่นๆ ตามที่ผู้เสนอโครงการหรือภาคเอกชนจะต้องทำความตกลงกับชุมชน เพื่อสามารถนำเงินดังกล่าวไปช่วยเหลือด้านสาธารณูปโภค ด้านการรักษาพยาบาล ด้านการศึกษา เป็นต้น
นอกจากนี้ในภาพรวมโรงไฟฟ้าชุมชนฯ จะช่วยให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 28,000 ล้านบาท เกษตรกรมีรายได้จากการเชื้อเพลิงระยะยาว 20 ปี มูลค่าประมาณ 33,800 ล้านบาท และเกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพกว่า 23,600 อัตรา ลดการย้ายถิ่นฐานของแรงงานและสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน
ส่วนเรื่องที่มีการระบุว่าต้องมีเงินประกันสัญญา 500 ล้านบาท นั้นมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เนื่องจากตามระเบียบของโครงการระบุว่า ผู้ยื่นขายไฟฟ้าต้องวางหลักประกัน จำนวน 500 บาทต่อกิโลวัตต์ของปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขาย ดังนั้นผู้ยื่นจะต้องวางหลักประกัน 1.5 – 3 ล้านบาทต่อโครงการ เท่านั้น
“กระทรวงพลังงานขอให้มั่นใจได้ว่า โรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากโครงการนำร่องนี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ พิจารณาประเด็นให้ครบถ้วนรอบด้านมากที่สุด เพราะเกี่ยวพันกับรายได้และผลประโยชน์ของพี่น้องเกษตรกรในระยะยาว”
ส่วนสาเหตุที่ล่าช้าในช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากมีการร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่ง ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบและพิจารณาอย่างครบถ้วนแล้ว โดยพบว่าไม่ปรากฏพฤติการณ์ตามข้อกล่าวหา และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเตรียมลงนามสัญญาระหว่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกับผู้เข้าร่วมโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนต่อไป”